สหรัฐ คืออะไร

สหรัฐอเมริกา (; ย่อเป็น: U.S.A. หรือ USA) โดยทั่วไปเรียก สหรัฐ (United States; ย่อเป็น: U.S. หรือ US) หรือ อเมริกา (America) เป็นสหพันธ์สาธารณรัฐซึ่งตั้งอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ ประกอบด้วยรัฐ 50 รัฐ หนึ่งเขตปกครองกลาง ห้าดินแดนปกครองตนเองสำคัญ รวมทั้งเขตสงวนอินเดียน 326 แห่ง และเกาะรอบนอกประเทศอีก 9 แห่ง สหรัฐมีพรมแดนทางทิศเหนือติดประเทศแคนาดา และทางทิศใต้ติดเม็กซิโก และยังมีพรมแดนทางทะเลติดกับหลายประเทศ เช่น บาฮามาส คิวบา และ รัสเซีย ด้วยพื้นที่กว่า 9.8 ล้านตารางกิโลเมตร และประชากรราว 331 ล้านคน ทำให้สหรัฐมีพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลก และมีประชากรมากเป็นอันดับที่ 3 ของโลก เมืองหลวงของประเทศคือ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และนครใหญ่สุดคือ นครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศ

อินเดียนดึกดำบรรพ์จากยูเรเชียย้ายถิ่นมาแผ่นดินใหญ่ทวีปอเมริกาเหนือเมื่อ 15,000 ปีก่อน การยึดเป็นอาณานิคมของยุโรปเริ่มในคริสต์ศตวรรษที่ 16 สหรัฐกำเนิดจาก 13 อาณานิคมของบริเตนตามชายฝั่งตะวันออก ข้อพิพาทหลายครั้งระหว่างบริเตนใหญ่และอาณานิคมหลังสงครามเจ็ดปีนำสู่การปฏิวัติอเมริกาซึ่งเริ่มในปี 1775 เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 1776 ผู้แทนจาก 13 อาณาเขตลงมติรับคำประกาศอิสรภาพเป็นเอกฉันท์ ขณะที่อาณานิคมกำลังต่อสู้กับบริเตนใหญ่ในสงครามปฏิวัติอเมริกา สงครามยุติในปี 1783 โดยราชอาณาจักรบริเตนใหญ่รับรองเอกราชของสหรัฐ และเป็นสงครามประกาศอิสรภาพต่อจักรวรรดิอาณานิคมยุโรปที่ประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกด้วย123 มีการลงมติรับรัฐธรรมนูญของประเทศในปี 1788 หลังบทบัญญัติสมาพันธรัฐ (Articles of Confederation) ซึ่งมีการลงมติรับในปี 1781 รู้สึกว่าให้อำนาจแก่สหพันธรัฐไม่เพียงพอ ในปี 1791 มีการให้สัตยาบันการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสิบครั้งแรก ซึ่งเรียกรวมว่า รัฐบัญญัติสิทธิ ซึ่งออกแบบมาเพื่อประกันเสรีภาพพลเมืองพื้นฐานหลายข้อ

สหรัฐเริ่มขยายดินแดนอย่างแข็งขันทั่วทวีปอเมริกาเหนือตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 19 ขับไล่เผ่าอเมริกันพื้นเมือง ซื้อดินแดนใหม่ และค่อย ๆ รับรัฐใหม่จนขยายทั่วทวีปในปี 18484 ระหว่างครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 19 สงครามกลางเมืองอเมริกานำให้ยุติความเป็นทาสตามกฎหมายในประเทศ56 เมื่อถึงสิ้นศตวรรษนั้น สหรัฐขยายเข้ามหาสมุทรแปซิฟิก7 และเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นส่วนใหญ่เริ่มเติบโตอย่างรวดเร็ว8 และกลายเป็นชาติที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกในปี 1900 สงครามสเปน–อเมริกาและสงครามโลกครั้งที่หนึ่งยืนยันสถานภาพมหาอำนาจทางทหารโลกของสหรัฐ การโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์โดยจักรวรรดิญี่ปุ่นนำสหรัฐเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สองโดยร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร ภายหลังสงครามยุติ สหรัฐและสหภาพโซเวียตได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นสองอภิมหาอำนาจโลกนำไปสู่ช่วงเวลาแห่งความขัดแย้ง เป็นผลให้เกิดสงครามเย็นซึ่งกินเวลาหลายทศวรรษ ทว่าไม่มีการสู้รบกันโดยตรง ทั้งสองชาติยังมีส่วนร่วมในการแข่งขันอวกาศนำไปสู่ต้นกำเนิดของอะพอลโล 11 ซึ่งนำมนุษย์เดินทางสู่ดวงจันทร์เป็นครั้งแรก ขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมืองซึ่งเริ่มต้นในทศวรรษ 1950 นำไปสู่การออกกฎหมายเพื่อล้มล้างกฎหมายของรัฐ และกฎหมายท้องถิ่นโดย จิม โครว์ รวมถึงขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติต่อชาวแอฟริกันอเมริกัน การสิ้นสุดลงของสงครามเย็นและการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 ส่งผลให้สหรัฐกลายเป็นรัฐอภิมหาอำนาจเดี่ยวของโลก9 เหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน นำประเทศเข้าสู่สงครามต่อต้านการก่อการร้าย ซึ่งรวมถึงสงครามอัฟกานิสถาน และสงครามอิรัก

สหรัฐเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐ ใช้ระบบสองสภาพร้อมด้วยระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยมและใช้ระบบเศรษฐกิจแบบตลาด มีตัวชี้วัดสิทธิมนุษยชน คุณภาพชีวิต รายได้และความมั่งคั่ง ความสามารถการแข่งขันทางเศรษฐกิจ และการศึกษาสูง มีการรับรู้การฉ้อราษฎร์บังหลวงต่ำ แต่มีระดับการกักขังและความเหลื่อมล้ำสูง สหรัฐเป็นประเทศเบ้าหลอมวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่เกิดจากการอพยพเข้าเมืองหลายศตวรรษ ภูมิศาสตร์ ภูมิอากาศ และสัตว์ป่าของประเทศยังมีความ��ลากหลายอย่างยิ่ง10 โดยเป็นหนึ่งในสิบเจ็ดประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในโลก

สหรัฐถือเป็นประเทศพัฒนาสูง มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกตามอัตราจีดีพี โดยคิดเป็นอัตราส่วนถึงหนึ่งในสี่ของจีดีพีโลก สหรัฐประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับสองของโลก และแม้มีประชากรรวมเพียง 4.2% ของโลก11 ทว่าสหรัฐมีความมั่งคั่งโดยรวมคิดเป็นกว่า 30% ของโลก และมีค่าใช้จ่ายทางการทหารมากถึงหนึ่งในสามของโลก12 ทำให้เป็นชาติเศรษฐกิจและการทหารแนวหน้า สหรัฐเป็นประเทศการเมืองและวัฒนธรรมโดดเด่น และผู้นำทางวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมเทคโนโลยี13 และยังเป็นผู้ก่อตั้งสหประชาชาติ, ธนาคารโลก, กองทุนการเงินระหว่างประเทศ, องค์การนานารัฐอเมริกา, เนโท รวมทั้งเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

นิรุกติศาสตร์

ในปี 1507 นักเขียนแผนที่ชาวเยอรมัน มาร์ติน วัลด์เซมึลเลอร์ ผลิตแผนที่โลกซึ่งเขาได้ตั้งชื่อดินแดนทางซีกโลกตะวันตกในแผนที่ดังกล่าวว่า "อเมริกา" ตามชื่อของนักสำรวจและนักเขียนแผนที่ชาวอิตาเลียน อเมริโก เวสปุชชี14 หลักฐานเอกสารแรกของวลี "สหรัฐอเมริกา" มาจากจดหมายลงวันที่ 2 มกราคม 1776 ซึ่งสตีเฟน มอยแลน นายทหารผู้ช่วยของจอร์จ วอชิงตันและนายพลแห่งกองทัพภาคพื้นทวีป ส่งถึงพลโท โจเซฟ รีด มอยแลนแสดงความปรารถนาของเขาในการนำ "อำนาจเต็มและเกินพอของสหรัฐอเมริกา" ไปประเทศสเปนเพื่อสนับสนุนในความพยายามของสงครามปฏิวัติ15 สิ่งพิมพ์เผยแพร่แรกเท่าที่ทราบของวลี "สหรัฐอเมริกา" อยู่ในความเรียงไม่ทราบผู้เขียนในหนังสือพิมพ์ เดอะเวอร์จิเนียกาเซต ในวิลเลียมสเบิร์ก เวอร์จิเนีย เมื่อวันที่ 6 เมษายน 177616

เดิมอดีตอาณานิคมอังกฤษได้ใช้ชื่อเรียกสมัยใหม่ของประเทศในคำประกาศอิสรภาพ ("การประกาศอิสรภาพของสิบสามสหรัฐอเมริกาด้วยน้ำหนึ่งใจเดียวกัน") ประกาศใช้โดย "คณะผู้แทนสหรัฐอเมริกา" เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 231917 ส่วนชื่อในปัจจุบันได้รับการสรุปเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2320 เมื่อสภานิติบัญญัติภาคพื้นทวีปที่สองได้ประกาศใช้ข้อบังคับแห่งสมาพันธรัฐ ความว่า "สมาพันธรัฐซึ่งตั้งขึ้นนี้ เรียกว่า "สหรัฐอเมริกา" ถ้อยคำมาตรฐานสั้น ๆ ซึ่งใช้เรียกสหรัฐอเมริกา คือ สหรัฐ (United States) และชื่อเรียกอีกหลายรูปแบบ ได้แก่ the U.S., the USA และ America คำว่า Columbia ก็เคยเป็นชื่อที่ได้รับความนิยมในการเรียกสหรัฐอเมริกา ซึ่งมาจากชื่อของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส และยังปรากฏในชื่อ "District of Columbia" อีกด้วย

สำหรับการเรียกสหรัฐอเมริกาของคนไทย ในอดีต เคยเรียกชื่อสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการว่า "สหปาลีรัฐอเมริกา"18 ส่วนชื่ออื่นที่ใช้เรียกสหรัฐอเมริกา เช่น มะกัน ลุงแซม อินทรี พญาอินทรี เจ้าโลก หรือ ตำรวจโลก

ภาษาศาสตร์

ในภาษาอังกฤษ คำมาตรฐานซึ่งหมายถึงพลเมืองของสหรัฐอเมริกา คือ อเมริกัน (American) ถึงแม้ว่า United States จะเป็นคำคุณศัพท์อย่างเป็นทางการ แต่ทั้งคำว่า American และ U.S. เป็นคำคุณศัพท์อันเป็นที่นิยมมากกว่า ในการระบุถึงสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ อเมริกัน ยังอาจหมายถึง ทวีปอเมริกา อีกด้วย แต่มักจะถูกใช้น้อยมากในภาษาอังกฤษ เพื่อหมายความถึงประชากรซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับสหรัฐอเมริกา19

เดิม วลี "สหรัฐอเมริกา" ถือว่าเป็นคำพหูพจน์ (ใช้กับคำกริยา are, were, ...) — รวมทั้งในรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกาแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 13 ซึ่งมีผลใช้บังคับในปี พ.ศ. 2408 อีกด้วย แต่คำดังกล่าวได้กลายมาเป็นคำเอกพจน์ (ใช้กับคำกริยา is, was, ...) — หลังจากยุคสงครามกลางเมือง และได้กลายมาเป็นรูปแบบมาตรฐานในปัจจุบัน แต่รูปแบบพหูพจน์ก็ยังคงปรากฏในสำนวน "these United States"20

ประวัติศาสตร์

ชนพื้นเมืองและประวัติศาสตร์ยุคก่อนโคลัมบัส

thumb|การสร้างใหม่ของศิลปินซึ่งแหล่งคินเคดจากวัฒนธรรมมิสซิสซิปปีก่อนประวัติศาสตร์ ตามที่อาจปรากฏ21 ผู้อยู่อาศัยในทวีปอเมริกาเหนือคนแรก ๆ ย้ายถิ่นจากไซบีเรียโดยทางสะพานบกเบริงและมาถึงอย่างน้อย 15,000 ปีมาแล้ว แม้มีหลักฐานเพิ่มขึ้นที่เสนอว่าอาจมาถึงก่อนหน้านั้นอีก22 หลังข้ามสะพานบกแล้ว ชาวอเมริกันกลุ่มแรกย้ายลงใต้ โดยอาจตามชายฝั่งแปซิฟิก2324 หรือผ่านหิ้งปลอดน้ำแข็งในแผ่นดินระหว่างหิ้งน้ำแข็งคอร์ดิลเลอร์แรน (Cordilleran) และลอเรนไทด์ (Laurentide)25 วัฒนธรรมโคลวิสปรากฏประมาณ 11,000 ปีก่อน และถือว่าเป็นบรรพบุรุษของวัฒนธรรมพื้นเมืองสมัยหลังของทวีปอเมริกาส่วนใหญ่26 แม้คิดกันตลอดปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 ว่าวัฒนธรรมโคลวิสเป็นตัวแทนของการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งแรกในทวีปอเมริกา27 แต่ในช่วงปีหลัง ๆ ได้เปลี่ยนมาตระหนักถึงวัฒนธรรมก่อนโคลวิส28

ต่อมา วัฒนธรรมพื้นเมืองในทวีปอเมริกาเหนือเริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้น และบางวัฒนธรรมเช่น วัฒนธรรมมิสซิสซิปปีสมัยก่อนโคลัมบัสในทางตะวันออกเฉียงใต้ พัฒนาการกสิกรรมก้าวหน้า สถาปัตยกรรมใหญ่ และสังคมระดับรัฐ29 ตั้งแต่ประมาณปี 800 ถึง 160030 วัฒนธรรมมิสซิสซิปปีเฟื่องฟู และนครใหญ่สุด คะโฮเคีย (Cahokia) ถือเป็นแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนโคลัมบัสที่ใหญ่และซับซ้อนที่สุดในสหรัฐปัจจุบัน31 ในภูมิภาคเกรตเลกส์ทางใต้ มีการก่อตั้งสมาพันธรัฐอิระควอยในบางช่วงระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 1232 ถึง 1533 และอยู่มาจนสิ้นสงครามปฏิวัติ34

การตั้งถิ่นฐานหมู่เกาะฮาวายครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อใดนั้นยังเป็นหัวข้อการถกเถียงที่ยังดำเนินอยู่35 หลักฐานโบราณคดีดูเหมือนบ่งชี้ว่ามีนิคมตั้งแต่ปี 12436 ระหว่างการเดินเรือครั้งที่สามและครั้งสุดท้าย กัปตันเจมส์ คุกเป็นชาวยุโรปคนแรกที่เริ่มการติดต่อกับฮาวายอยางเป็นทางการ37 หลังการขึ้นฝั่งครั้งแรกในเดือนมกราคม 1778 ที่ท่าไวเมีย เกาะคาไว คุกตั้งชื่อกลุ่มเกาะนี้วา "หมู่เกาะแซนด์วิช" ตามเอิร์ลที่ 4 แห่งแซนด์วิช รักษาราชการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทหารเรือของราชนาวีบริติช38

นิคมยุโรป

[thumb|นักสำรวจชาวอิตาลี คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส มาถึงทวีปอเมริกาและเข้าควบคุมกัวนาฮานิ](ไฟล์:Columbus_Taking_Possession.jpg "wikilink")

หลังสเปนส่งโคลัมบัสในการล่องเรือเที่ยวแรกของเขาสู่โลกใหม่ ในปี 1492 ก็มีนักสำรวจอื่นตามมา ชาวยุโรปกลุ่มแรกที่มาถึงดินแดนของสหรัฐสมัยใหม่เป็นกองกิสตาดอร์สเปนอย่างควน ปอนเซ เด เลออน ซึ่งเดินทางถึงฟลอริดาครั้งแรกในปี 1513 ทว่า หากคิดดินแดนที่ไม่รวมเข้าด้วยกันของสหรัฐด้วยแล้ว ความชอบจะเป็นของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสซึ่งขึ้นฝั่งที่ปวยร์โตรีโกในการเดินทางปี 1493 ชาวสเปนตั้งนิคมแห่งแรกในฟลอริดาและนิวเม็กซิโกอย่างเซนต์ออกัสตีน39 และแซนตาเฟ ชาวฝรั่งเศสตั้งอาณานิคมของตนเช่นกันตามแม่น้ำมิสซิสซิปปี การตั้งถิ่นฐานของชาวอังกฤษที่สำเร็จตามชายฝั่งตะวันออกของทวีปอเมริกาเหนือเริ่มด้วยอาณานิคมเวอร์จิเนียในปี 1607 ที่เจมส์ทาวน์ และอาณานิคมพลีมัทของพิลกริมในปี 1620 ผู้ตั้งถิ่นฐานจำนวนมากเป็นกลุ่มคริสต์ศาสนิกชนขัดแย้งที่มาแสวงเสรีภาพทางศาสนา มีการสร้างสภาเบอร์จัสซิส (House of Burgesses) แห่งเวอร์จิเนีย ซึ่งเป็นสภานิติบัญญัติที่มาจากการเลือกตั้งแห่งแรกของทวีป ในปี 1619 และข้อตกลงร่วมกันเมย์ฟลาวเออร์ (Mayflower Compact) ซึ่งพิลกริมลงนามก่อนขึ้นฝั่ง และภาคีมูลฐานแห่งคอนเนกติคัด สถาปนาแบบอย่างสำหรับรูปแบบการปกครองตนเองแบบมีผู้แทนและระบอบรัฐธรรมนูญซึ่งจะพัฒนาทั่วอาณานิคมอเมริกา4041

ผู้ตั้งถิ่นฐานส่วนมากในทุกอาณานิคมเป็นเกษตรกรรายย่อย แต่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมอื่นในไม่กี่ทศวรรษแตกต่างกันตามนิคม พืชเศรษฐกิจมียาสูบ ข้าวเจ้าและข้าวสาลี อุตสาหกรรมการสกัดเติบโตขึ้นในหนังสัตว์ การประมงและการทำไม้ ผู้ผลิตผลิตรัมและเรือ และเมื่อถึงสมัยอาณานิคมตอนปลาย ชาวอเมริกันก็ผลิตหนึ่งในเจ็ดของอุปสงค์เหล็กโลก42 สุดท้ายนครต่าง ๆ ผุดขึ้นตามชายฝั่งเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่นและใช้เป็นศูนย์กลางการค้า ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอังกฤษมีระลอกชาวสกอต-ไอริชและกลุ่มอื่นเข้ามาเสริม เมื่อที่ดินชายฝั่งมีราคาแพงขึ้นทำให้แรงงานสัญญา (indentured servant) ที่เป็นอิสระถูกผลักไปทางทิศตะวันตก43

การค้าทาสขนานใหญ่กับไพรวะเทียร์อังกฤษเริ่มต้น44 การคาดหมายคงชีพของทาสในทวีปอเมริกาเหนือสูงกว่าทางใต้มาก เนื่องจากมีโรคน้อยกว่าและมีอาหารและการปฏิบัติที่ดีกว่า นำให้มีการเพิ่มจำนวนของทาสอย่างรวดเร็ว4546 สังคมอาณานิคมส่วนใหญ่แบ่���แยกกันระหว่างการส่อความทางศาสนาและศีลธรรมของความเป็นทาส และอาณานิคมผ่านรัฐบัญญัติทั้งสนับสนุนและคัดค้านทาส4748 แต่เมื่อย่างเข้าคริสต์ศตวรรษที่ 18 ทาสแอฟริกาก็เป็นแรงงานพืชเศรษฐกิจแทนที่แรงงานสัญญา โดยเฉพาะในภาคใต้49

ด้วยการทำให้จอร์เจียเป็นอาณานิคมของบริติชในปี 1732 จึงมีการสถาปนาสิบสามอาณานิคมที่จะกลายเป็นสหรัฐในเวลาต่อมา50 ทุกอาณานิคมมีรัฐบาลท้องถิ่นและการเลือกตั้งที่เปิดแก่ชายไททุกคน โดยมีการฝักใฝ่สิทธิชนอังกฤษโบราณและสำนึกการปกครองตนเองที่กระตุ้นการสนับสนุนสาธารณรัฐนิยม51 ด้วยอัตราการเกิดที่สูงมาก อัตราการตายที่ต่ำมากและการตั้งถิ่นฐานอย่างต่อเนื่อง ประชากรอาณานิคมจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว ประชากรอเมริกันพื้นเมืองค่อนข้างน้อยถูกบดบัง52 ขบวนการฟื้นฟูคริสต์ศาสนิกชน (Christian revivalist) คริสต์ทศวรรษ 1730 และ 1740 ที่เรียก การตื่นใหญ่ (Great Awakening) ช่วยเร่งความสนใจทั้งศาสนาและเสรีภาพในการนับถือศาสนา53

ระหว่างสงครามเจ็ดปี (หรือเรียก สงครามฝรั่งเศสและอินเดียน) กำลังบริติชยึดแคนาดาจากฝรั่งเศส แต่ประชากรที่พูดภาษาฝรั่งเศสยังโดดเดี่ยวทางการเมืองจากอาณานิคมทางใต้ 13 อาณานิคมเหล่านี้มีประชากรกว่า 2.1 ล้านคนหรือประมาณหนึ่งในสามของบริเตนในปี 1770 หากไม่นับอเมริกันพื้นเมืองซึ่งถูกพิชิตและขับไล่ แม้มีการเข้ามาใหม่อย่างต่อเนื่อง แต่อัตราการเพิ่มตามธรรมชาติสูงจนเมื่อถึงคริสต์ทศวรรษ 1770 มีชาวอเมริกันน้อยมากที่เกิดโพ้นทะเล54 ระยะห่างของอาณานิคมจากบริเตนทำให้มีการพัฒนาการปกครองตนเอง แต่ความสำเร็จของพวกเขาบันดาลให้พระมหากษัตริย์มุ่งย้ำพระราชอำนาจอยู่เป็นระยะ55

ในปี 1774 เรือกองทัพเรือสเปน ซานเตียโก ภายใต้ควน เปเรซเข้าและทอดสมอในทางเข้าที่นูตคาซาวน์ (Nootka Sound) แม้ชาวสเปนมิได้ขึ้นฝั่ง แต่ชนพื้นเมืองพายเรือมายังเรือสเปนเพื่อค้าหนังสัตว์แลกกับเปลือกแอบะโลนีจากแคลิฟอร์เนีย56 ในเวลานั้น สเปนสามารถผูกขาดการค้าระหว่างทวีปเอเชียและอเมริกาเหนือได้โดยให้ใบอนุญาตจำกัดแก่โปรตุเกส เมื่อชาวรัสเซียเริ่มสถาปนาระบบการค้าหนังสัตว์ที่เติบโตขึ้นในอะแลสกา ชาวสเปนเริ่มคัดค้านรัสเซีย โดยการเดินเรือของเปเรซเป็นครั้งแรก ๆ ที่ไปแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ57

หลังมาถึงหมู่เกาะฮาวายในปี 1778 กัปตันคุกแล่นเรือขึ้นเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อสำรวจฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือซึ่งอยู่เหนือกว่านิคมสเปนในอัลตาแคลิฟอร์เนีย เขาขึ้นบกที่ฝั่งออริกอนที่ประมาณละติจูด 44°30′ เหนือ โดยตั้งชื่อจุดขึ้นบกนั้นว่า เคปเฟาล์เวเทอร์ ลมฟ้าอากาศเลวบังคับให้เรือของเขาลงใต้ไปประมาณ 43° เหนือก่อนสามารถเริ่มการสำรวจชายฝั่งไปทางเหนือ58 ในเดือนมีนาคม 1778 คุกขึ้นบกที่เกาะไบล และตั้งชื่อทางเข้าว่า "คิงจอจส์ซาวด์" เขาบันทึกว่าชื่อชนพื้นเมือง คือ นุตคาหรือนูตคา59

ผลต่อและอันตรกิริยากับประชากรพื้นเมือง

ด้วยความคืบหน้าของการทำให้เป็นอาณานิคมของยุโรปในดินแดนสหรัฐร่วมสมัย อเมริกันพื้นเมืองมักถูกพิชิตและย้ายถิ่น60 ประชากรพื้นเมืองของอเมริกาเสื่อมลงหลังชาวยุโรปมาถึง และด้วยหลายสาเหตุ จากโรคอย่างโรคฝีดาษและโรคหัดเป็นหลัก ความรุนแรงมิใช่ปัจจัยสำคัญในการเสื่อมลงโดยรวมในหมู่อเมริกันพื้นเมือง แม้มีความขัดแย้งระหว่างกันเองและกับชาวยุโรปมีผลต่อบางเผ่าและนิคมอาณานิคมต่าง ๆ616263646566

ในช่วงแรกของการทำให้เป็นอาณานิคม ผู้ตั้งถิ่นฐานยุโรปจำนวนมากประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร โรคและการโจมตีจากอเมริกันพื้นเมือง อเมริกันพื้นเมืองยังมักก่อสงครามกับเผ่าใกล้เคียงและเป็นพันธมิตรกับชาวยุโรปในสงครามอาณานิคมของตนเอง ทว่า ในเวลาเดียวกัน ชนพื้นเมืองและผู้ตั้งถิ่นฐานจำนวนมากพึ่งพาอาศัยกัน ผู้ตั้งถิ่นฐานแลกเปลี่ยนเอาอาหารและหนังสัตว์ ส่วนชนพื้นเมืองแลกเอาปืน เครื่องกระสุนและสินค้ายุโรปอื่น67 ชนพื้นเมืองสอนผู้ตั้งถิ่นฐานจำนวนมากว่าจะเพาะปลูกข้าวโพด ถั่วและน้ำเต้าที่ไหน เมื่อใดและอย่างไร มิชชันนารียุโรปและอื่น ๆ รู้สึกว่าเป็นสิ่งสำคัญจะ "ทำให้เจริญ" ซึ่งอเมริกันพื้นเมืองและกระตุ้นให้พวกเขารับเทคนิคเกษตรกรรมและวิถีชีวิตของยุโรป6869

การเดินเรือเที่ยวสุดท้ายของกัปตันเจมส์ คุกรวมถึงการแล่นตามชายฝั่งทวีปอเมริกาเหนือและอะแลสกาเพื่อแสวงช่องทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นเวลาประมาณเก้าเดือน เขากลับฮาวายเพื่อเติมกำลังบำรุง เดิมสำรวจชายฝั่งเมาวีและเกาะใหญ่ ค้าขายกับคนท้องถิ่นแล้วทอดสมอที่อ่าวเกียลาเคกัวในเดือนมกราคม 1779 เมื่อเรือและพวกของเขาออกจากเกาะ เสาเรือหักในลมฟ้าอากาศเลว บังคับให้พวกเขาหวนคืนในกลางเดือนกุมภาพันธ์ คุกถูกฆ่าในอีกหลายวันต่อมา70

เอกราชและการขยายอาณาเขต

thumb|200px|คำประกาศอิสรภาพ โดย จอห์น ทรัมบูล

สงครามปฏิวัติอเมริกาเป็นสงครามประกาศอิสรภาพอาณานิคมที่สำเร็จครั้งแรกต่อชาติยุโรป ชาวอเมริกันพัฒนาอุดมการณ์ "สาธารณรัฐนิยม" โดยยืนยันว่ารัฐบาลจะต้องมาจากเจตจำนงของประชาชนโดยแสดงออกผ่านสภานิติบัญญัติท้องถิ่น พวกเขาเรียกร้องสิทธิเป็นชาวอังกฤษและ "ห้ามจัดเก็บภาษีหากไม่มีผู้แทน" ฝ่ายบริติชยืนยันการบริหารจักรวรรดิผ่านรัฐสภา และความขัดแย้งบานปลายเป็นสงคราม71

หลังการผ่านข้อมติลีเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 1776 ซึ่งเป็นการออกเสียงลงมติเอกราชที่แท้จริง สภาทวีปที่สองลงมติรับคำประกาศอิสรภาพในวันที่ 4 กรกฎาคม ซึ่งประกาศในคำปรารภยาวว่า มนุษยชาติถูกสร้างขึ้นมาเท่าเทียมกันในสิทธิที่ไม่อาจโอนกันได้และบริเตนใหญ่ไม่คุ้มครองสิทธิเหล่านี้ และประกาศในคำของข้อมติว่าสิบสามอาณานิคมเป็นรัฐเอกราชและไม่สวามิภักดิ์กับพระมหากษัตริย์บริติชในสหรัฐ มีการเฉลิมฉลองวันที่ 4 กรกฎาคมทุกปีเป็นวันประกาศอิสรภาพ72 ในปี 1777 บทบัญญัติสมาพันธรัฐ (Articles of Confederation) สถาปนารัฐบาลอ่อนที่ดำเนินการจนปี 178973

บริเตนรับรองเอกราชของสหรัฐหลังปราชัยที่ยอร์กทาวน์ในปี 178174 ในสนธิสัญญาสันติภาพปี 1783 เอกราชของสหรัฐได้รับการรับรองจากชายฝั่งแอตแลนติกไปทางตะวันตกถึงแม่น้ำมิสซิสซิปปี นักชาตินิยมนำการประชุมฟิลาเดลเฟียปี 1787 ในการเขียนรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐ ให้สัตยาบันในการประชุมรัฐในปี 1788 มีการจัดระเบียบรัฐบาลกลางใหม่เป็นสามอำนาจ โดยหลักการสร้างการตรวจสอบและถ่วงดุลที่มีประโยชน์ ในปี 1789 จอร์จ วอชิงตันซึ่งนำกองทัพปฏิวัติคว้าชัย เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ได้รับเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ ในปี 1791 มีการลงมติรับบัญญัติว่าด้วยสิทธิพื้นฐานของพลเมืองซึ่งห้ามการจำกัดเสรีภาพส่วนบุคคลของรัฐบาลกลางและรับประกันการคุ้มครองทางกฎหมายต่าง ๆ75

แม้รัฐบาลกลางทำให้การค้าทาสระหว่างประเทศเป็นความผิดในปี 1808 แต่หลังปี 1820 การใช้ทาสเพาะปลูกผลผลิตฝ้ายที่ได้กำไรสูงปะทุในดีปเซาท์ พร้อมกับจำนวนประชากรทาสด้วย767778 การตื่นใหญ่ที่สอง (Second Great Awakening) โดยเฉพาะอย่างยิ่งปี 1800–1840 เข้ารีตคนหลายล้านคนสู่โปรเตสแตนท์อีแวนเจลิคัล (evangelical) ในทิศเหนือ เหตุนี้ทำให้เกิดขบวนการปฏิรูปสังคมหลายขบวนการซึ่งรวมการเลิกทาส79 ในภาคใต้ มีการชวนเข้ารีตเมทอดิสต์ (Methodist) และแบปทิสต์ในหมู่ประชากรทาส80

thumb|200px|ดินแดนซึ่งสหรัฐเข้าถือสิทธิ์แบ่งตามเวลา

ความกระตือรือร้นของสหรัฐในการขยายดินแดนไปทางทิศตะวันตกทำให้เกิดสงครามอเมริกันอินเดียนยืดเยื้อ81 การซื้อลุยเซียนาซึ่งดินแดนที่ฝรั่งเศสอ้างในปี 1803 ทำให้ประเทศมีพื้นที่เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว82 สงครามปี 1812 ซึ่งประกาศต่อบริเตน กับความเดือดร้อนต่าง ๆ และการต่อสู้เพื่อดึงดูดและเสริมชาตินิยมสหรัฐ83 ชุดการบุกเข้าทางทหารสู่ฟลอริดานำให้สเปนยกดินแดนดังกล่าวและดินแดนฝั่งอ่าว (Gulf Coast) ในปี 181984 การขยายดินแดนได้รับการช่วยเหลือจากเครื่องจักรไอน้ำ เมื่อเรือจักรไอน้ำเริ่มล่องตามระบบธารน้ำขนาดใหญ่ของอเมริกาซึ่งเชื่อมด้วยคลองสร้างใหม่ เช่น อีรีและไอแอนด์เอ็ม แล้วกระทั่งรางรถไฟที่เร็วกว่าเริ่มลากข้ามดินแดนของประเทศ85

ตั้งแต่ปี 1820 ถึง 1850 ประชาธิปไตยแบบแจ็กสันเริ่มชุดการปฏิรูปซึ่งรวมสิทธิออกเสียงเลือกตั้งของชายผิวขาวในวงกว้างขึ้น นำสู่ความเจริญของระบบพรรคที่สองประชาธิปไตยและวิกเป็นพรรคการเมืองหลังตั้งแต่ปี 1828 ถึง 1854 เส้นทางธารน้ำตาในคริสต์ทศวรรษ 1830 เป็นตัวอย่างของนโยบายกำจัดอินเดียนซึ่งตั้งถิ่นฐานอินเดียนใหม่ทางตะวันตกในเขตสงวนอินเดียน สหรัฐผนวกสาธารณรัฐเท็กซัสในปี 1845 ระหว่างสมัยเทพลิขิตซึ่งมีลักษณะขยายดินแดน86 สนธิสัญญาออริกอนปี 1846 กับบริเตนนำให้สหรัฐควบคุมภาคตะวันตกเฉียงเหนือปัจจุบัน87 ชัยในสงครามเม็กซิโก–อเมริกาลงเอยด้วยการยกแคลิฟอร์เนียของเม็กซิโกและพื้นที่ส่วนใหญ่ของภาคตะวันตกเฉียงใต้ปัจจุบัน88

การตื่นทองที่แคลิฟอร์เนียปี 1848–1849 กระตุ้นการย้ายถิ่นไปทางตะวันตกและการสถาปนารัฐทางตะวันตกเพิ่ม89 หลังสงครามกลางเมืองอเมริกา ระบบรางข้ามทวีปใหม่ทำให้การย้ายถิ่นง่ายขึ้นสำหรับผู้ตั้งถิ่นฐาน การค้าภายในขยายตัวและความขัดแย้งกับอเมริกันพื้นเมืองเพิ่มขึ้น90 กว่าครึ่งศตวรรษ การสูญเสียอเมริกันไบซันมีผลกระทบต่อการดำรงอยู่ต่อวัฒนธรรมอินเดียนที่ราบหลายวัฒนธรรม91 ในปี 1869 นโยบายสันติภาพใหม่มุ่งคุ้มครองอเมริกันพื้นเมืองจากการละเมิด เลี่ยงสงครามเพิ่ม และประกันความเป็นพลเมืองสหรัฐในที่สุด แม้ความขัดแย้งซึ่งรวมสงครามอินเดียนครั้งใหญ่สุดหลายครั้งยังดำเนินต่อไปทั่วตะวันตกจนล่วงเข้าคริสต์ทศวรรษ 190092

สงครามกลางเมืองและสมัยการบูรณะ

[thumb|ยุทธการที่เกตตีสเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนียระหว่างสงครามกลางเมือง โดย Thure de Thulstrup](ไฟล์:Thure_de_Thulstrup_-_L.Prang_and_Co.-Battle_of_Gettysburg-Restoration_by_Adam_Cuerden(cropped).jpg "wikilink")

ข้อแตกต่างของความเห็นและระเบียบสังคมระหว่างรัฐภาคเหนือและภาคใต้ในสังคมสหรัฐช่วงแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวข้องกับทาสผิวดำ จนสุดท้ายนำสู่สงครามกลางเมืองอเมริกา93 เดิมทีรัฐเข้าสู่สหภาพสลับกันระหว่างรัฐทาสและรัฐเสรีเพื่อรักษาสมดุลภาคในวุฒิสภา ขณะที่รัฐเสรีมีประชากรมากกว่ารัฐทาสและมีผู้แทนในสภาผู้แทนราษฎรมากกว่า แต่ด้วยมีดินแดนตะวันตกและรัฐเสรีเพิ่มขึ้น ความตึงเครียดระหว่างรัฐทาสและรัฐเสรีสูงขึ้นด้วยการถกเถียงเกี่ยวกับระบอบสหพันธรัฐ การโอนการครอบครองดินแดน ควรขยายหรือจำกัดความเป็นทาสหรือไม่และอย่างไร94

อับราฮัม ลินคอล์น ผู้ชนะการเลือกตั้ง ในปี 1860 ประธานาธิบดีคนแรกจากพรรครีพับลิกันซึ่งส่วนใหญ่ต่อต้านความเป็นทาส สุดท้ายการประชุมในสิบสามรัฐทาสประกาศแยกตัวออกและตั้งสมาพันธรัฐอเมริกา ขณะที่รัฐบาลกลา���ยืนยันว่าการแยกตัวออกไม่ชอบด้วยกฎหมาย95 สงครามที่เกิดขึ้นให้หลังนั้นทีแรกเป็นสงครามเพื่อรักษาสหภาพ และหลังจากปี 1863 เมื่อกำลังพลสูญเสียเพิ่มขึ้นและลินคอล์นออกประกาศปลดปล่อยให้เป็นอิสระ (Emancipation Proclamation) เป้าหมายสงครามที่สองกลายเป็นการเลิกทาส สงครามนี้เป็นความขัดแย้งทางทหารที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ ทำให้มีทหารเสียชีวิตประมาณ 618,000 คนและพลเรือนอีกเป็นอันมาก96

หลังฝ่ายสหภาพมีชัยในปี 1865 มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐสามครั้ง การแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 13 ห้ามความเป็นทาส การแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 14 มอบความเป็นพลเมืองแก่แอฟริกันอเมริกันที่เคยเป็นทาสเกือบสี่ล้านคน97 และการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 15 รับประกันว่าพวกเขามีสิทธิออกเสียงลงคะแนน สงครามและผลลัพธ์นำสู่การเพิ่มอำนาจของรัฐบาลกลางอย่างมากโดยมีเป้าหมายเพื่อบูรณาการและสร้างใหม่ซึ่งรัฐภาคใต้ขณะที่รับประกันสิทธิของทาสที่เพิ่งเป็นไท สงครามและผลนำสู่การเพิ่มอำนาจรัฐบาลกลางอย่างสำคัญ98 โดยมีเป้าหมายเพื่อบูรณาการใหม่และสร้างใหม่ซึ่งรัฐภาคใต้พร้อมกับรับประกันสิทธิของทาสที่เพิ่งเป็นไท

นักอนุรักษนิยมผิวขาวภาคใต้ซึ่งเรียกตนว่า "ผู้ไถ่" (Redeemer) เข้าควบคุมหลังสิ้นสุดการบูรณะ เมื่อถึงช่วงปี 1890–1910 กฎหมายจิม โครว์พรากสิทธิออกเสียงลงคะแนนคนผิวดำส่วนใหญ่และคนขาวยากจนบางส่วน คนดำเผชิญการแบ่งแยกทางเชื้อชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคใต้99 ชนกลุ่มน้อยเชื้อชาติบางครั้งเผชิญการลงประชาทัณฑ์100

การปรับให้เป็นอุตสาหกรรม

[thumb|right|200px|เกาะเอลลิสในนครนิวยอร์กเป็นประตูสำคัญสำหรับการเข้าเมืองของชาวยุโรป101](ไฟล์:Ellis_island_1902.jpg "wikilink")

ในภาคเหนือ การขยายตัวของเมืองและการหลั่งไหลของคนเข้าเมืองจากยุโรปใต้และยุโรปตะวันออกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้มีแรงงานเหลือเฟือสำหรับการปรับประเทศให้เป็นอุตสาหกรรมและการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม102 โครงสร้างพื้นฐานของประเทศซึ่งมีโทรเลขและทางรถไฟข้ามทวีปกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและการตั้งถิ่นฐานยิ่งใหญ่ขึ้นและการพัฒนาโอลด์เวสต์อเมริกา การประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าและโทรศัพท์ ต่อมายังมีผลต่อการคมนาคมและชีวิตคนเมือง103

การสิ้นสุดของสงครามอินเดียนยิ่งขยายพื้นที่ภายใต้การเพาะปลูกโดยใช้เครื่องจักร เพิ่มส่วนเกินสำหรับตลาดระหว่างประเทศ104 การขยายดินแดนแผ่นดินใหญ่สำเร็จด้วยการซื้ออะแลสกาจากจักรวรรดิรัสเซียในปี 1867105 ในปี 1893 ส่วนนิยมอเมริกาในฮาวายล้มราชาธิปไตยและตั้งสาธารณรัฐฮาวาย ซึ่งสหรัฐผนวกในปี 1898 สเปนยกปวยร์โตรีโก กวมและฟิลิปปินส์ให้สหรัฐในปีเดียวกันหลังสงครามสเปน–อเมริกา106

การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วระหว่างปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ช่วยให้นักอุตสาหกรรมโดดเด่นจำนวนมากเฟื่องฟูขึ้น นักธุรกิจใหญ่อย่างคอร์เนเลียส แวนเดอร์บิลท์, จอห์น ดี. ร็อกเกอะเฟลเลอร์และแอนดรูว์ คาร์เนกีนำความก้าวหน้าของชาติในอุตสาหกรรมรางรถไฟ ปิโตรเลียมและเหล็กกล้า การธนาคารกลายเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจ โดยเจ. พี. มอร์แกนมีบทบาทเด่น ทอมัส เอดิสันและนิโคลา เทสลาทำให้ไฟฟ้ากระจายแพร่หลายสู่อุตสาหกรรม บ้านเรือนและสำหรับการให้แสงสว่างตามถนน เฮนรี ฟอร์ดปฏิวัติอุตสาหกรรมยานยนต์ เศรษฐกิจอเมริกาเฟื่องฟูและกลายเป็นเศรษฐกิจใหญ่สุดของโลก และสหรัฐได้สถานภาพมหาอำนาจ107 การเปลี่ยนแปลงรวดเร็วนี้กอปรกับความไม่สงบทางสังคมและความเจริญของขบวนการประชานิยม สังคมนิยมและอนาธิปไตย108 สุดท้ายสมัยนี้สิ้นสุดลงด้วยการมาของสมัยก้าวหน้า (Progressive Era) ซึ่งมีการปฏิรูปสำคัญในสังคมหลายด้าน ซึ่งรวมทั้งสิทธิออกเสียงเลือกตั้งของสตรี การห้ามแอลกอฮอล์ การกำกับสินค้าบริโภค มาตรการป้องกันการผูกขาดที่มากขึ้นเพื่อประกันการแข่งขันและความใส่ใจความเป็นอยู่ของแรงงาน109110111

สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ และสงครามโลกครั้งที่สอง

[thumb|ฝูงชนชุมนุมกันที่วอลล์สตรีทหลังเหตุหลักทรัพย์ตกปี 1929](ไฟล์:Crowd_outside_nyse.jpg "wikilink")

สหรัฐวางตนเป็นกลางตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุในปี 1914 จนถึงปี 1917 เมื่อเข้าร่วมสงครามเป็น "ชาติสมทบ" ร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งอย่างเป็นทางการ โดยช่วยเปลี่ยนทิศทางของสงครามต่อฝ่ายมหาอำนาจกลาง ในปี 1919 ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสันรับบทบาทการทูตนำ ณ การประชุมสันติภาพปารีสและสนับสนุนอย่างแข็งขันให้สหรัฐเข้าร่วมสันนิบาตชาติ ทว่า วุฒิสภาปฏิเสธไม่อนุมัติและไม่ให้สัตยาบันสนธิสัญญาแวร์ซายซึ่งสถาปนาสันนิบาตชาติ112

ในปี 1920 ขบวนการสิทธิสตรีชนะการผ่านการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญซึ่งให้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งของสตรี113 คริสต์ทศวรรษ 1920 และ 1930 มีความเจริญเติบโตของสื่อสารมวลชนประเภทวิทยุและมีการประดิษฐ์โทรทัศน์ขึ้นในยุคแรก114 ความเฟื่องฟูของทเวนตีร้องคำราม (Roaring Twenties) สิ้นสุดด้วยเหตุการณ์วอลล์สตรีทตกปี 1929 และการเริ่มต้นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ หลังแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในปี 1932 เขาสนองด้วยข้อตกลงใหม่ (New Deal) ซึ่งรวมการสถาปนาระบบหลักประกันสังคม115 การย้ายถิ่นใหญ่ของแอฟริกันอเมริกันหลายล้านคนจากภาคใต้ของสหรัฐเริ่มก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและกินเวลาจนถึงคริสต์ทศวรรษ 1960116 ขณะที่ชามฝุ่น (Dust Bowl) กลางคริสต์ทศวรรษ 1930 ทำให้ชุมชนกสิกรรมจำนวนมากยากจนและทำให้เกิดการย้ายถิ่นทางตะวันตกระลอกใหม่117

ทีแรกสหรัฐวางตนเป็นกลางระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองระหว่างที่เยอรมนีพิชิตทวีปยุโรปส่วนใหญ่ สหรัฐเริ่มจัดหาปัจจัยแก่ฝ่ายสัมพันธมิตรในเดือนมีนาคม 1941 ผ่านโครงการให้ยืม-เช่า วันที่ 7 ธันวาคม 1941 จักรวรรดิญี่ปุ่นเปิดฉากโจมตีอย่างจู่โจมต่อเพิร์ลฮาร์เบอร์ ทำให้สหรัฐเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรสู้รบกับฝ่ายอักษะ118 ระหว่างสงคราม สหรัฐถูกเรียกว่าเป็นหนึ่งใน "สี่ตำรวจ"119 แห่งฝ่ายสัมพันธมิตรผู้ประชุมกันวางแผนโลกหลังสงคราม ร่วมกับบริเตน สหภาพโซเวียตและจีน แม้สหรัฐเสียทหารกว่า 400,000 นาย120 แต่แทบไม่ได้รับความเสียหายจากสงครามและยิ่งมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจและทางทหารมากยิ่งขึ้นอีก121

สหรัฐมีบทบาทนำในการประชุมเบรตตันวูดส์และยัลตากับสหราชอาณาจักร สหภาพโซเวียตและฝ่ายสัมพันธมิตรอื่นซึ่งลงนามความตกลงว่าด้วยสถาบันการเงินระหว่างประเทศใหม่และการจัดระเบียบใหม่หลังสงครามของทวีปยุโรป เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรชนะในทวีปยุโรปแล้ว การประชุมระหว่างประเทศในซานฟรานซิสโกในปี 1945 ได้ออกกฎบัตรสหประชาชาติซึ่งมีผลใช้บังคับหลังสงคราม122 สหรัฐพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ครั้งแรกและใช้มันกับญี่ปุ่นในนครฮิโระชิมะและนะงะซะกิ ญี่ปุ่นยอมจำนนในวันที่ 2 กันยายน ยุติสงครามโลกครั้งที่สอง123124

สงครามเย็นและยุคสิทธิมนุษยชน

[thumb|ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนแห่งสหรัฐ (ซ้าย) และเลขาธิการมีฮาอิล กอร์บาชอฟแห่งสหภาพโซเวียต ในการประชุมที่เจนีวาในปี 1985](ไฟล์:Reagan_and_Gorbachev_hold_discussions.jpg "wikilink") หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐและสหภาพโซเวียตประชันชิงอำนาจระหว่างสมัยสงครามเย็น ขับเคลื่อนด้วยการแบ่งแยกอุดมการณ์ระหว่างทุนนิยมและคอมมิวนิสต์ ทั้งสองครอบงำกิจการทหารของทวีปยุโรป โดยมีสหรัฐและพันธมิตรนาโต้ฝ่ายหนึ่งและสหภาพโซเวียตและพันธมิตรสนธิสัญญาวอร์ซออีกฝ่ายหนึ่ง สหรัฐพัฒนานโยบายการจำกัดการขยายตัวของลัทธิที่ไม่พึงปรารถนาต่อการขยายอิทธิพลตอมมิวนิสต์ ขณะที่สหรัฐและสหภาพโซเวียตต่อสู้ในสงครามตัวแทนและพัฒนาคลังอาวุธนิวเคลียร์ทรงพลัง และสองประเทศเลี่ยงความขัดแย้งทางทหารโดยตรง

สหรัฐมักคัดค้านขบวนการโลกที่สามซึ่งมองว่าโซเวียตสนับสนุน ทหารอเมริกันต่อสู้กำลังคอมมิวนิสต์จีนและเกาหลีเหนือในสงครามเกาหลีปี 1950–1953 การปล่อยดาวเทียมดวงแรกของสหภาพโซเวียตปี 1957 และการปล่อยเที่ยวบินอวกาศที่มีมนุษย์โดยสารครั้งแรกในปี 1961 เริ่ม "การแข่งขันอวกาศ" ซึ่งสหรัฐเป็นชาติแรกที่นำมนุษย์ลงจอดดวงจันทร์ในปี 1969125 สงครามตัวแทนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สุดท้ายกลายเป็นการเข้าไปมีส่วนพัวพันเต็มตัวของอเมริกา เช่น สงครามเวียดนาม

ในประเทศ สหรัฐมีการขยายทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและการเติบโตของประชากรและชนชั้นกลางอย่างรวดเร็ว การก่อสร้างระบบทางหลวงระหว่างรัฐแปรสภาพโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในเวลาหลายทศวรรษถัดมา คนหลายล้านคนผละไร่นาและนครชั้นใน (inner city) สู่การพัฒนาเคหะชานเมืองขนาดใหญ126127 ในปี 1959 ฮาวายกลายเป็นรัฐที่ 50 และรัฐล่าสุดของสหรัฐที่เพิ่มเข้าประเทศ128 ขบวนการสิทธิพลเมืองที่เติบโตขึ้นใช้สันติวิธีเผชิญกับการแบ่งแยกและการเลือกปฏิบัติ โดยมีมาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์เป็นผู้นำคนสำคัญและหัวโขน คำวินิจฉัยของศาลและกฎหมายประกอบกันลงเอยด้วยรัฐบัญญัติสิทธิพลเมืองปี 1968 ซึ่งมุ่งยุติการเลือกปฏิบัติทางเพศ129130131 ขณะเดียวกัน ขบวนการวัฒนธรรมต่อต้านเติบโตขึ้นโดยได้รับการสนับสนุนจากการค้านสงครามเวียดนาม ชาตินิยมผิวดำและการปฏิวัติทางเพศ

การเปิดฉาก "สงครามต่อความยากจน" โดยประธานาธิบดี ลินดอน บี. จอห์นสัน ขยายการให้สิทธิ์และการใช้จ่ายด้านสวัสดิการ ซึ่งรวมการสร้างเมดิแคร์และเมดิเคด สองโครงการซึ่งให้ความคุ้มครองด้านสุขภาพต่อผู้สูงอายุและผู้ยากไร้ตามลำดับ และโครงการสแตมป์อาหาร (Food Stamp Program) และช่วยเหลือครอบครัวที่มีเด็กพึ่งพิง (Aid to Families with Dependent Children)132

คริสต์ทศวรรษ 1970 และต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 เริ่มมีการชะงักทางเศรษฐกิจ หลังประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนได้รับเลือกตั้งในปี 1980 เขาตอบโต้ด้วยการปฏิรูปเน้นตลาดเสรี หลังการล่มสลายของการผ่อนคลายความตึงเครียด เขาเลิก "การจำกัดการขยายตัวของลัทธิที่ไม่พึงปรารถนา" และริเริ่มยุทธศาสตร์ "ม้วนกลับ" ที่ก้าวร้าวขึ้นต่อสหภาพโซเวียต133134135136137 หลังมีการเพิ่มขึ้นของแรงงานสตรีในทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้ในปี 1985 สตรีที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไปส่วนใหญ่มีงานทำ138

ปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 มีการ "ผ่อนคลาย" ความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียต และการล่มลายในปี 1991 ยุติสงครามเย็นในที่สุด เหตุนี้นำมาซึ่งภาวะขั้วเดียว139 โดยสหรัฐเป็นอภิมหาอำนาจครอบงำของโลกโดยไร้ผู้ต่อกร มโนทัศน์สันติภาพอเมริกา (Pax Americana) ซึ่งปรากฏในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นคำเรียกระเบียบโลกใหม่ยุคหลังสงครามเย็นที่ได้รับความนิยมกว้างขวาง

ประวัติศาสตร์ร่วมสมัย

หลังสงครามเย็น ความขัดแย้งในตะวันออกกลางจุดชนวนวิกฤตการณ์ในปี 1990 เมื่อประเทศอิรักภายใตซัดดัม ฮุสเซนบุกครองและพยายามผนวกประเทศคูเวต กับพันธมิตรของสหรัฐ ด้วยเกรงว่าความไร้เสถียรภาพจากลามไปภูมิภาคอื่น ประธานาธิบดีจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุชจึงเปิดฉากปฏิบัติการโล่ทะเลทราย การส่งกำลังป้องกันในประเทศซาอุดีอาระเบีย และปฏิบัติการพายุทะเลทรายในขั้นที่เรียก สงครามอ่าว โดยมีกำลังผสมจาก 34 ประเทศนำโดยสหรัฐต่อประเทศอิรัก ยุติด้วยการขับกำลังอิรักออกจากประเทศคูเวตได้สำเร็จ ฟื้นฟูราชาธิปไตยคูเวต140

อินเทอร์เน็ตซึ่งกำเนิดในเครือข่ายกลาโหมสหรัฐลามไปเครือข่ายวิชาการระหว่างประเทศ และสู่สาธารณะในปี 1990 มีผลใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมโลก141

เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ดอตคอม นโยบายการเงินแบบเสถียรภาพภายใต้แอลัน กรีนสแพนและการลดรายจ่ายสวัสดิการสังคม คริสต์ทศวรรษ 1990 มีการขยายทางเศรษฐกิจใหญ่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐสมัยใหม่ซึ่งสิ้นสุด���นปี 2001142 เริ่มตั้งแต่ปี 1994 สหรัฐเข้าสู่ความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) เชื่อมประชากร 450 ล้านคนซึ่งผลิตสินค้าและบริการมูลค่า 17 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป้าหมายของความตกลงคือเพื่อกำจัดอุปสรรคการค้าและการลงทุนในสหรัฐ ประเทศแคนาดาและเม็กซิโกในวันที่ 1 มกราคม 2008 การค้าในหมู่ไตรภาคีเพิ่มขึ้นมากตั้งแต่ NAFTA มีผลใช้บังคับ143

วันที่ 11 กันยายน 2001 ผู้ก่อการร้ายอัลกออิดะฮ์โจมตเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในนครนิวยอร์กและอาคารเพนตากอนใกล้กับกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 3,000 คน144 สหรัฐตอบโต้ด้วยการเปิดฉากสงครามต่อต้านการก่อการร้าย ซึ่งรวมสงครามในอัฟกานิสถานและสงครามอิรักปี 2003–2011145146 ในปี 2007 รัฐบาลบุชสั่งเพิ่มกำลังทหารครั้งใหญ่ในสงครามอิรัก147 ซึ่งลดความรุนแรงและนำสู่เสถียรภาพเพิ่มขึ้นในภูมิภาคอย่างเป็นผล148149

นโยบายของรัฐบาลซึ่งออกแบบเพื่อส่งเสริมการเคหะที่มีราคาไม่แพง150 ความล้มเหลวกว้างขวางของบรรษัทภิบาลและธรรมาภิบาลในการกำกับดูแล (regulatory governance)151 และอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ของระบบธนาคารกลาง152 นำสู่ฟองสบู่การเคหะกลางคริสต์ทศวรรษ 2000 จนลงเอยด้วยวิกฤตการณ์การเงินปี 2008 เป็นการหดตัวทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศนับแต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่153 บารัก โอบามา ประธานาธิบดีแอฟริกันอเมริกันและหลายเชื้อชาติคนแรก ได้รับเลือกตั้งในปี 2008 ท่ามกลางวิกฤต154 และต่อมาผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและรัฐบัญญัติการปฏิรูปวอลล์สตรีตและคุ้มครองผู้บริโภคด็อดด์-แฟรงก์เพื่อพยายามบรรเทาผลร้าย มาตรการกระตุ้นดังกล่าวอำนวยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน155 และการว่างงานลดลงโดยสัมพัทธ์156 ด็อดด์-แฟรงก์พัฒนาเสถียรภาพทางการเงินและการคุ้มครองผู้บริโภค157 แต่มีผลลบต่อการลงทุนธุรกิจและธนาคารขนาดเล็ก158

ในปี 2010 รัฐบาลโอบามาผ่านรัฐบัญญัติการบริบาลที่เสียได้ ซึ่งเป็นการปฏิรูปครั้งที่ครอบคลุมที่สุดต่อระบบสาธารณสุขของประเทศในเกือบห้าทศวรรษ ซึ่งรวมการมอบอำนาจ เงินอุดหนุนและการแลกเปลี่ยนประกัน กฎหมายนี้ทำให้ลดจำนวนและร้อยละของผู้ไม่มีประกันสุขภาพลงอย่างสำคัญ โดยมี 24 ล้านคนครอบคลุมระหว่างปี 2016159 กระนั้น กฎหมายนี้เป็นที่โต้เถียงเนื่องจากผลกระทบต่อราคาสาธารณสุข เบี้ยประกันภัยและสมรรถภาพทางเศรษฐกิจ160 แม้ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำถึงจุดต่ำสุดในเดือนมิถุนายน 2009 แต่ผู้ออกเสียงลงคะแนนยังคับข้องใจกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ล่าช้า พรรครีพับลิกันซึ่งคัดค้านนโยบายของโอบามา ได้ควบคุมสภาผู้แทนราษฎรอย่างถล่มทลายในปี 2010 และควบคุมวุฒิสภาในปี 2014161

มีการถอนกำลังอเมริกันในประเทศอิรักในปี 2009 และ ปี 2010 และมีการประกาศให้สงครามในภูมิภาคยุติลงอย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคม 2011162 การถอนกำลังดังกล่าวทำให้การก่อการกำเริบนิกายนิยมบานปลาย163 นำสู่ความเจริญของรัฐอิสลามอิรักและลิแวนต์ ซึ่งเป็นผู้สืบทอดของอัลกออิดะฮ์ในภูมิภาค164 ในปี 2014 โอบามาประกาศฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางทูตสมบูรณ์กับประเทศคิวบาเป็นครั้งแรกนับแต่ปี 1961165 ปีต่อมา สหรัฐซึ่งเป็นสมาชิกประเทศพี5+1 ลงนามแผนปฏิบัติการเบ็ดเสร็จร่วม ซึ่งเป็นความตกลงที่มุ่งชะลอการพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ของประเทศอิหร่าน166

ดอนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีผู้มั่งมีที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐและประธานาธิบดีคนแรกที่ไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองและการทหารก่อนเข้าดำรงตำแหน่ง ได้รับเลือกตั้งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016 ถือเป็นการเลือกตั้งที่มีผลลัพธ์ผิดคาดที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศ167 เขาเป็นผู้นำประเทศในการระบาดระลอกแรกของไวรัสโคโรนา 2019 ต่อมา ในช่วงต้นทศวรรษ 2020 สหรัฐต้องเผชิญกับความขัดแย้งในประเทศที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่ง การเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ ก่อให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่รวมถึงเสียงวิจารณ์ในวงกว้างต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ168 ความขัดแย้งยังทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง จากการเสียชีวิตของประชาชนจากเหตุการณ์กราดยิงในหลายพื้นที่169 นำไปสู่ประเด็นถกเถียงต่อความเหมาะสมของกฎหมายในการครอบครองและพกพาอาวุธปืน ใน ค.ศ 2022 ศาลสูงสุดหรือศาลฎีกา (Supreme Court) พิพากษายกเลิกคำตัดสินคดี Roe v Wade ที่เคยพิพากษาเมื่อปี 1973 ว่าการทำแท้งเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ นำไปสู่การประท้วงในหลายพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในสังคมเริ่มกลับมาอีกครั้ง ชาวอเมริกันส่วนมากแสดงการต่อต้านการรุกรานยูเครนของรัสเซียอย่างเปิดเผย รัฐบาลสหรัฐตอบโต้ด้วยการยุติกิจการบริษัทหลายแห่งในรัสเซียและเบลารุส รวมถึงมีการสนับสนุนจากนักการเมืองระดับสูงในการส่งมอบอาวุธช่วยเหลือยูเครน170

ภูมิศาสตร์ ภูมิอากาศ และสิ่งแวดล้อม

[thumb|ภาพถ่ายจากดาวเทียมแสดงถึงลักษณะภูมิประเทศของสหรัฐอเมริกาแผ่นดินใหญ่](ไฟล์:USATopographicalMap.jpg "wikilink") [thumb|ภาพถ่ายบางส่วนของเทือกเขาร็อกกี](ไฟล์:Colorado_rocky_mtns.JPG "wikilink")

สหรัฐแผ่นดินใหญ่มีพื้นที่ 7,663,940.6 ตารางกิโลเมตร รัฐอะแลสกา ซึ่งมีประเทศแคนาดาคั่นสหรัฐแผ่นดินใหญ่ เป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุด มีขนาด 1,717,856.2 ตารางกิโลเมตร รัฐฮาวายซึ่งเป็นกลุ่มเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกกลาง อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปอเมริกาเหนือ มีพื้นที่ 28,311 ตารางกิโลเมตร171 ดินแดนที่มีประชากรอาศัยของสหรัฐ ได้แก่ ปวยร์โตรีโก อเมริกันซามัว กวม หมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนาและหมู่เกาะเวอร์จินรวมมีพื้นที่ 23,789 ตารางกิโลเมตร172

สหรัฐเป็นประเทศใหญ่สุดอันดับสามหรือสี่ของโลกเรียงตามพื้นที่ทั้งหมด (แผ่นดินและผืนน้ำ) รองจากประเทศรัสเซียและแคนาดา และมีอันดับสูงหรือต่ำกว่าจีน การจัดอันดับต่างกันขึ้นอยู่กับว่านับรวมดินแดนที่ประเทศจีนและอินเดียพิพาทหรือไม่ และวัดขนาดทั้งหมดของสหรัฐอย่างไร คือ การคำนวณมีตั้งแต่ 9,522,055.0 กม.<sup>2</sup>173, 9,629,091.5 กม.<sup>2</sup>174 ไปจนถึง 9,833,516.6 กม.<sup>2</sup>175 หากวัดเฉพาะแผ่นดิน สหรัฐจะมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามรองจากประเทศรัสเซียและจีน สูงกว่าแคนาดา176

ที่ราบชายฝั่งทะเลแอตแลนติกให้ก่อให้เกิดป่าผลัดใบลึกเข้าไปในแผ่นดินและรอยคลื่นพีดมอนต์ (Piedmont)177 เทือกเขาแอปพาเลเชียนแบ่งชายฝั่งทะเลตะวันออกจากเกรตเลกส์และทุ่งหญ้าภาคกลางตะวันตก (Midwest)178 แม่น้ำมิสซิสซิปปีมิสซูรี ระบบแม่น้ำยาวที่สุดอันดับสี่ของโลก ไหลส่วนใหญ่ในทิศเหนือ–ใต้ผ่านใจกลางประเทศ ที่ราบใหญ่ (Great Plains) ซึ่งเป็นทุ่งหญ้าราบอุดมสมบูรณ์แผ่ขยายไปทางทิศตะวันตก โดยมีพื้นที่สูงทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ขวาง179

เทือกเขาร็อกกี ณ ขอบทิศตะวันตกของที่ราบใหญ่ แผ่ขยายข้ามประเทศจากเหนือจรดใต้ มีระดับความสูงกว่า 4,300 เมตร ในรัฐโคโลราโด180 ไปอีกทางทิศตะวันตกเป็นแอ่งใหญ่ (Great Basin) หิน และทะเลทราย เช่น ทะเลทรายชิฮัวฮวนและโมฮาวี181 เทือกเขาเซียร์ราเนวาดาและแคสเคด (Cascade) ทอดใกล้กับชายฝั่งแปซิฟิก เทือกเขาทั้งสองนี้มีระดับความสูงกว่า 4,300 เมตร จุดต่ำสุดและสูงสุดในสหรัฐแผ่นดินใหญ่อยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย182 และห่างกัน 135 กิโลเมตร183 ที่ระดับความสูง 6,194 เมตร ยอดเขาเดนาลี (ยอดเขาแม็กคินเลย์) ในรัฐอะแลสกาเป็นยอดเขาสูงสุดในประเทศและในทวีปอเมริกาเหนือ184 ภูเขาไฟที่ยังปะทุอยู่มีทั่วไปตลอดกลุ่มเกาะอะเล็กซานเดอร์และหมู่เกาะอะลูเชียนในรัฐอะแลสกา และรัฐฮาวายประกอบด้วยเกาะภูเขาไฟ ภูเขาไฟใหญ่ที่อยู่ในอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตนในเทือกเขาร็อกกี เป็นลักษณะภูเขาไฟใหญ่สุดของทวีปอเมริกาเหนือ185

เนื่องจากสหรัฐมีขนาดใหญ่และความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ จึงมีลักษณะอากาศหลายชนิด ทางตะวันออกของเส้นเมอริเดียนที่ 100 ลักษณะอากาศมีตั้งแต่ภาคพื้นทวีปชื้นทางเหนือถึงกึ่งเขตร้อนชื้นทางใต186 ที่ราบใหญ่ทางตะวันตกของเส้นเมอริเดียนที่ 100 เป็นกึ่งแห้งแล้ง เขาทางตะวันตกส่วนใหญ่มีลักษณะอากาศแบบแอลป์ ลักษณะอากาศเป็นแบบแห้งแล้งในแอ่งใหญ่ ทะเลทรายในภาคตะวันตกเฉียงใต้ เมดิเตอร์เรเนียนในรัฐแคลิฟอร์เนียชายฝั่ง และภูมิอากาศแบบอบอุ่นชื้นภาคพื้นสมุทรในชายฝั่งรัฐออริกอนและรัฐวอชิงตัน และทางใต้ของรัฐอะแลสกา รัฐอะแลสกาส่วนใหญ่เป็นแบบกึ่งอาร์กติกหรือขั้วโลก รัฐฮาวายและปลายใต้สุดของรัฐฟลอริดามีลักษณะอากาศแบบเขตร้อน เช่นเดียวกับดินแดนที่มีประชากรอยู่อาศัยในทะเลแคริบเบียนและมหาสมุทรแปซิฟิก187 อากาศสุดโต่งเป็นเรื่องไม่แปลก ในรัฐที่ติดอ่าวเม็กซิโกที่มีความเสี่ยงเกิดพายุเฮอร์ริเคน และทอร์เนโดส่วนใหญ่ของโลกเกิดในประเทศนี้ โดยเกิดในบริเวณตรอกทอร์เนโดแถบตะวันตกกลางและภาคใต้เป็นหลัก188

สัตว์ป่า

thumb|upright|อินทรีหัวขาวเป็นนกประจำชาติของสหรัฐตั้งแต่ปี 1782 นิเวศวิทยาของสหรัฐนั้นหลากหลายมาก (megadiverse) โดยมีพืชมีท่อลำเลียงประมาณ 17,000 ชนิดในสหรัฐแผ่นดินใหญ่และรัฐอะแลสกา และพบพืชดอกกว่า 1,800 ชนิดในรัฐฮาวาย ซึ่งมีจำนวนน้อยที่พบในแผ่นดินใหญ่189 สหรัฐเป็นถิ่นที่อยู่ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 428 ชนิด นก 784 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 311 ชนิดและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก 295 ชนิด190 มีการพบแมลงประมาณ 91,000 ชนิด191 อินทรีหัวขาวเป็นนกประจำชาติและสัตว์ประจำชาติของสหรัฐ และเป็นสัญลักษณ์ของประเทศเสมอมา192

มีอุทยานแห่งชาติ 58 แห่งและอุทยาน ป่าและพื้นที่ที่ดินในสภาพธรรมชาติอื่นที่รัฐบาลกลางจัดการอีกนับหลายร้อยแห่ง193 เบ็ดเสร็จแล้วรัฐบาลเป็นเจ้าของพื้นที่ประมาณ 28% ของประเทศ194 ส่วนใหญ่พื้นที่เหล่านี้มีการคุ้มครอง แม้บางส่วนให้เช่าสำหรับการขุดเจาะน้ำมันและแก๊ส การทำเหมือง การทำไม้หรือการเลี้ยงปศุสตว์ ประมาณ 0.86% ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางทหาร195196

ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นวาระแห่งชาติมาตั้งแต่ปี 1970 การโต้เถียงเรื่องสิ่งแวดล้อมรวมถึงการอภิปรายเรื่องน้ำมันและพลังงานนิวเคลียร์ การจัดการกับมลพิษทางอากาศและน้ำ ค่าใช้จ่ายทางเศรษฐกิจในการพิทักษ์สัตว์ป่า การทำไม้ และการทำลายป่า197198 และการตอบสนองระหว่างประเทศเกียวกับภาวะโลกร้อน199200 มีหน่วยงานของรัฐบาลกลางและรัฐหลายหน่วยงานเกี่ยวข้อง ที่โดดเด่นที่สุดคือ สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐ (Environmental Protection Agency) ที่ตั้งขึ้นตามคำสั่งของประธานาธิบดีในปี 1970201 ความคิดเรื่องที่ดินในสภาพธรรมชาติได้ก่อรูปการจัดการที่ดินสาธารณะตั้งแต่ปี 1964 ด้วยบทบัญญัติที่ดินในสภาพธรรมชาติ (Wilderness Act)202 รัฐบัญญัติสิ่งมีชีวิตใกล้สูญพันธุ์ปี 1973 มีเจตนาคุ้มครองชนิดที่อยู่ในข่ายเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์หรือใกล้การสูญพันธุ์และถิ่นที่อยู่ของพวกมัน โดยมีราชการปลาและสัตว์ป่าสหรัฐเป็นผู้ตรวจตรา203

ประชากรศาสตร์

ประชากร

เชื้อชาติ/ชาติพันธุ์ <small>(ประมาณของ ACS ปี 2015)</small>204
<small>แบ่งตามเชื้อชาติ:</small>205
ผิวขาว
ผิวดำ
เอเชีย
อเมริกันอินเดียนและชนพื้นเมืองอะแลสกา
ฮาวายพื้นเมืองและชาวเกาะแปซิฟิก
พหุเชื้อชาติ
เชื้อชาติอื่น
<small>แบ่งตามชาติพันธุ์:</small>206
ฮิสแปนิก/ละติโน (ทุกเชื้อชาติ)
มิใช่ฮิสแปนิก/ละติโน (ทุกเชื้อชาติ)

[thumb|right|264px|กลุ่มบรรพบุรุษใหญ่สุดแบ่งตามเทศมณฑล (ปี 2000) ซึ่งมีชาวอเมริกันเชื้อสายเยอรมันมากที่สุด](ไฟล์:Census-2000-Data-Top-US-Ancestries-by-County.svg "wikilink")

สำนักงานสำมะโนสหรัฐประมาณจำนวนประชากรของประเทศเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2016 ไว้ที่ 323,425,550 คน โดยเพิ่มขึ้น 1 คน (เพิ่มสุทธิ) ทุก 13 วินาที หรือประมาณ 6,646 คนต่อวัน207 ประชากรสหรัฐเพิ่มขึ้นเกือบสี่เท่าในคริสต์ศตวรรษที่ 20 จากประมาณ 76 ล้านคนในปี 1900208 สหรัฐเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดอันดับสามของโลกรองจากประเทศจีนและอินเดีย สหรัฐเป็นประเทศอุตสาหกรรมหลักประเทศเดียวที่มีการทำนายการเพิ่มของประชากรขนาดใหญ่209 ในคริสต์ทศวรรษ 1800 หญิงเฉลี่ยมีบุตร 7.04 คน เมื่อถึงคริสต์ทศวรรษ 1900 จำนวนดังกล่าวลดลงเหลือ 3.56 คน210 นับแต่ต้นคริสต์ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา อัตราการเกิดลดต่ำกว่าอัตราทดแทน 2.1 โดยอยู่ที่บุตร 1.86 คนต่อหญิง 1 คนในปี 2014 การเข้าเมืองที่เกิดต่างด้าวทำให้ประชากรสหรัฐยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยประชากรที่เกิดต่างด้าวเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากประมาณ 20 ล้านคนในปี 1990 เป็นกว่า 40 ล้านคนในปี 2010 โดยเป็นการเพิ่มของประชากรหนึ่งในสาม211 ประชากรที่เกิดต่างด้าวถึง 45 ล้านคนในปี 2015212'

สหรัฐมีประชากรหลากหลายมาก โดยกลุ่มบรรพบุรุษ 37 กลุ่มมีสมาชิกกว่า 1 ล้านคน213 ชาวอเมริกันเชื้อสายเยอรมันเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใหญ่สุด (กว่า 50 ล้านคน) รองลงมาได้แก่ ชาวอเมริกันเชื้อสายไอร์แลนด์ (ประมาณ 37 ล้านคน), ชาวอเมริกันเชื้อสายเม็กซิโก (ประมาณ 31 ล้านคน) และชาวอเมริกันเชื้อสายอังกฤษ (ประมาณ 28 ล้านคน)214215 ชาวอเมริกันผิวขาวเป็นกลุ่มเชื้อชาติใหญ่สุด ชาวอเมริกันผิวดำเป็นเชื้อชาติชนกลุ่มน้อยใหญ่สุดของประเทศ (หมายเหตุว่าในสำมะโนสหรัฐ อเมริกันฮิสแปนิกและละติโนนับเป็นกลุ่ม "ชาติพันธุ์" มิใช่กลุ่ม "เชื้อชาติ") และเป็นกลุ่มบรรพบุรุษใหญ่สุดอันดับสาม216 ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียเป็นเชื้อชาติชนกลุ่มน้อยใหญ่สุดอันดับสอง โดยกลุ่มชาติพันธุ์ของชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียใหญ่สุดสามอันดับ ได้แก่ ชาวอเมริกันเชื้อสายจีน ชาวอเมริกันเชื้อสายฟิลิปปินส์ และชาวอเมริกันเชื้อสายอินเดีย217

สหรัฐมีอัตราเกิด 13 คนต่อ 1,000 คน ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก 5 คน218 อัตราการเติบโตของประชากรเป็นบวก 0.7% สูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ219 ในปีงบประมาณ 2012 ผู้เข้าเมืองกว่าหนึ่งล้านคน (ส่วนมากเข้าประเทศผ่านการรวมครอบครัว) ได้รับถิ่นที่อยู่ตามกฎหมาย220 ประเทศเม็กซิโกเป็นประเทศต้นทางของผู้อยู่อาศัยใหม่อันดับต้น ๆ ตั้งแต่รัฐบัญญัติการเข้าเมืองปี 1965 ประเทศจีน อินเดียและฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีผู้เข้าเมืองสูงสุดสี่อันดับทุกปีมาตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1990221222 ในปี 2012 ผู้อยู่อาศัยประมาณ 11.4 ล้านคนเป็นผู้เข้าเมืองไม่ชอบด้วยกฎหมาย223 ในปี 2015 47% ของผู้เข้าเมืองทั้งหมดเป็นฮิสแปนิก 26% เป็นชาวเอเชีย 18% เป็นคนขาว และ 8% เป็นคนดำ ร้อยละของผู้เข้าเมืองซึ่งเป็นชาวเอเชียเพิ่มขึ้นส่วนร้อยละของผู้เป็นฮิสแปนิกลดลง224

ชนกลุ่มน้อย (ซึ่งกรมสำมะโนนิยามว่าหมายถึงทุกคนยกเว้นคนผิวขาวที่มิใช่ฮิสปแปนิกและมิใช่หลายเชื้อชาติ) ประกอบเป็น 37.2% ของประชากรในปี 2012225 และกว่า 50% ของเด็กอายุน้อยกว่าหนึ่งปี226227 และคาดว่าจะกลายเป็นฝ่ายข้างมากเมื่อถึงปี 2044228

ตามการสำรวจซึ่งดำเนินการโดยสถาบันวิลเลียมส์ ชาวอเมริกันเก้าล้านคน หรือประมาณ 3.4% ของประชากรผู้ใหญ่ระบุตนเองว่าเป็นรักร่วมเพศ รักสองเพศหรือข้ามเพศ229230 การสำรวจมติมหาชนปี 2016 ยังสรุปว่า 4.1% ของชาวอเมริกันผู้ใหญ่ระบุตนเป็นแอลจีบีที ร้อยละสูงสุดมาจากเขตโคลัมเบีย (10%) ส่วนรัฐที่ตัวเลขต่ำสุด คือ รัฐนอร์ทดาโกตาที่ 1.7%231 การสำรวจในปี 2013 ศูนย์สำหรับการควบคุมและป้องกันโรคพบว่า 96.6% ระบุตนว่าตรงเพศ ส่วน 1.6% ระบุว่าเป็นเกย์หรือเลสเบียน และ 0.7% ระบุว่าเป็นรักสองเพศ232

ในปี 2010 ประชากรสหรัฐประมาณ 5.2 ล้านคนมีบรรพบุรุษเป็นอเมริกันอินเดียนหรือชนพื้นเมืองอลาสก้า (2.9 ล้านคนที่มีเฉพาะของบรรพบุรุษดังกล่าว) และ 1.2 ล้านคนที่มีบรรพบุรุษชนพื้นเมืองฮาวายหรือชาวเกาะแปซิฟิก (0.5 ล้านคนมีเฉพาะบรรพบุรุษดังกล่าว)233 สำมะโนนับกว่า 19 ล้านคนอยู่ใน "เชื้อชาติอื่น" ซึ่ง "ไม่สามารถระบุได้" ว่าอยู่ในหมวดเชื้อชาติอย่างเป็นทางการห้าหมวดในปี 2010 โดยมีกว่า 18.5% (97%) ของจำนวนนี้มีชาติพันธุ์ฮิสแปนิก234

การเติบโตของประชากรฮิสแปนิกและละติโนอเมริกัน (คำดังกล่าวใช้แทนกันได้อย่างเป็นทางการ) เป็นแนวโน้มประชากรศาสตร์ที่สำคัญ สำนักงานสำมะโนระบุชาวอเมริกันเชื้อสายฮิสแปนิก 50.5 ล้านคน235 ว่ามี "ชาติพันธุ์" แยกต่างหาก 64% ของฮิสแปนิกอเมริกันมีเชื้อสายเม็กซิโก236 ระหว่างปี 2000 ถึง 2010 ประชากรฮิสแปนิกของประเทศเพิ่ม 43% ขณะที่ประชากรที่มิใช่ฮิสแปนิกเพิ่มเพียง 4.9%237 การเติบโตส่วนมากมาจากการเข้าเมือง ในปี 2007 12.7% ของประชากรสหรัฐเกิดต่างด้าว ขณะที่ 54% ในจำนวนนี้เกิดในละตินอเมริกา238

ชาวอเมริกันประมาณ 82% อาศัยอยู่ในเขตเมือง (รวมชานเมือง)239 ในจำนวนนี้ประมาณกึ่งหนึ่งอาศัยอยู่ในนครที่มีประชากรกว่า 50,000 คน240 สหรัฐมีหลายกลุ่มนครที่เรียก เมกะรีจัน (megaregion) เมกะรีจันขนาดใหญ่สุดคือ อภิมหานครเกรตเลกส์ (Great Lakes Megalopolis) ตามด้วยอภิมหานครตะวันออกเฉียงเหนือและแคลิฟอร์เนียใต้ ในปี 2008 มีเทศบาล 273 เทศบาลที่มีประชากรกว่า 100,000 คน มีเก้านครที่มีผู้อยู่อาศัยกว่าหนึ่งล้านคน และสี่นครโลกที่มีประชากรกว่าสองล้านคน (นิวยอร์ก ลอสแอนเจลิส ชิคาโกและฮุสตัน)241 มี 52 พื้นที่มหานครที่มีประชากรกว่าหนึ่งล้านคน242 พื้นที่มหานครที่เติบโตเร็วที่สุด 47 จาก 50 พื้นที่อยู่ในภาคตะวันตกหรือภาคใต้243 พื้นที่มหานครแซนเบอร์นาร์ดีโน แดลลัส ฮุสตัน แอตแลนตาและฟีนิกซ์ล้วนเติบโตกว่าหนึ่งล้านคนระหว่างปี 2000 ถึง 2008244

<div style="margin:0 auto"> </div>

{{-}}

ภาษา

ภาษาร้อยละของ ประชากรจำนวน ผู้พูดจำนวนผู้พูด ภาษาอังกฤษ ได้ดีหรือดีมาก
อังกฤษ <small>(เท่านั้น)</small>80%233,780,338ทุกคน
รวมทุกภาษา ที่มิใช่อังกฤษ20%57,048,61743,659,301
สเปน <small>(ไม่รวมปวยร์โตรีโกและผสมสเปน)</small>12%35,437,98525,561,139
จีน <small>(รวมภาษากวางตุ้งมาตรฐานและภาษาจีนมาตรฐาน)</small>0.9%2,567,7791,836,263
ตากาล็อก0.5%1,542,1181,436,767
เวียดนาม0.4%1,292,448879,157
ฝรั่งเศส <small>(รวมเคจันแต่ไม่รวมผสมเฮติ)</small>0.4%1,288,8331,200,497
เกาหลี0.4%1,108,408800,500
เยอรมัน0.4%1,107,8691,057,836

ภาษาที่คนกว่า 1 ล้านคนพูดที่บ้านในสหรัฐ (ปี 2010)245

ภาษาอังกฤษ (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน) เป็นภาษาประจำชาติโดยพฤตินัย แม้ไม่มีภาษาราชการในระดับสหพันธรัฐ แต่กฎหมายบางฉบับ เช่น ข้อกำหนดการแปลงสัญชาติของสหรัฐ วางมาตรฐานภาษาอังกฤษ ในปี 2010 ประมาณ 230 ล้านคนหรือ 80% ของประชากรอายุตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป พูดภาษาอังกฤษที่บ้านเท่านั้น ภาษาสเปน ซึ่งมีประชากร 12% พูดที่บ้าน เป็นภาษาที่พบมากที่สุดอันดับสองและเป็นภาษาที่สองที่สอนกันแพร่หลายที่สุด246247 ชาวอเมริกันบางส่วนสนับสนุนให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการของประเทศ เนื่องจากเป็นภาษาราชการแล้วใน 32 รัฐ248

ทั้งภาษาฮาวายและภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการในรัฐฮาวายตามกฎหมายของรัฐ249 แม้ไม่มีภาษาราชการ แต่รัฐนิวเม็กซิโกมีกฎหมายที่กำหนดการใช้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาสเปน เช่นเดียวกับที่รัฐลุยเซียนากำหนดให้ใช้ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส250 รัฐอื่น เช่น รัฐแคลิฟอร์เนียมีคำสั่งศาลสูงให้พิมพ์เผยแพร่เอกสารราชการบางชนิดเป็นภาษาสเปน รวมทั้งแบบของศาล251 หลายเขตอำนาจที่มีผู้ไม่พูดภาษาอังกฤษจำนวนมากมีการผลิตเอกสารรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารสนเทศการเลือกตั้ง ในภาษาที่มีผู้พูดแพร่หลายในเขตอำนาจเหล่านั้น

หลายดินแดนเกาะให้การรับรองอย่างเป็นทางการต่อภาษาพื้นเมืองร่วมกับภาษาอังกฤษ โดยอเมริกันซามัวและกวมรับรองภาษาซามัว252 และภาษาชามอร์โร253 ตามลำดับ หมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนารับรองภาษาแคโรไลน์และชามอร์โร254 ชาติเชอโรคีรับรองภาษาเชอโรคีอย่างเป็นทางการในพื้นที่เขตอำนาจเผ่าเชอโรคีในรัฐโอกลาโฮมาตะวันออก ภาษาสเปนเป็นภาษาราชการในปวยร์โตรีโกและมีพูดกันแพร่หลายกว่าภาษาอังกฤษที่นั่น255

ภาษาต่างด้าวที่สอนกันกว้างขวางที่สุดในทุกระดับในสหรัฐ (ในแง่ของจำนวนผู้ลงทะเบียน) ได้แก่ ภาษาสเปน (ผู้เรียนประมาณ 7.2 ล้านคน) ฝรั่งเศส (1.5 ล้านคน) และเยอรมัน (500,000 คน) ภาษาที่มีสอนแพร่หลายอื่น (โดยมีผู้เรียน 100,000 ถึง 250,000 คน) มีภาษาละติน ญี่ปุ่น ภาษาใบ้อเมริกัน ภาษาอิตาลีและจีน256257 18% ของชาวอเมริกันอ้างว่าตนพูดได้มากกว่าหนึ่งภาษานอกจากภาษาอังกฤษ258

ศาสนา

ศาสนา% ของประชากรสหรัฐ
คริสต์'''{{bartable|70.6
โปรเตสแตนต์'''{{bartable|46.5
โปรเตสแตนต์อีวานเจลิคัล'''{{bartable|25.4
โปรเตสแตนต์สายหลัก'''{{bartable|14.7
คริสตจักรดำ'''{{bartable|6.5
คาทอลิก'''{{bartable|20.8
มอรมอน'''{{bartable|1.6
พยานพระยะโฮวา'''{{bartable|0.8
อีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์'''{{bartable|0.5
คริสต์อื่น'''{{bartable|0.4
ยูดาห์'''{{bartable|1.9
อิสลาม'''{{bartable|1
พุทธ'''{{bartable|0.7
ฮินดู'''{{bartable|0.7
ศาสนาอื่น'''{{bartable|1.8
ไม่มีศาสนา'''{{bartable|22.8
ไม่นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่ง'''{{bartable|15.8
อไญยนิยม'''{{bartable|4.0
อเทวนิยม'''{{bartable|3.1
ไม่ทราบหรือปฏิเสธไม่ตอบ'''{{bartable|0.6

style="font-size:100%" | ศาสนาที่นับถือในสหรัฐ (ปี 2014)259

การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐครั้งแรกรับประกันการนับถือศาสนาอย่างเสรีและห้ามรัฐสภาผ่านกฎหมายเกี่ยวกับสถาบันศาสนา

ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในสหรัฐ ในการสำรวจปี 2013 ชาวอเมริกัน 56% กล่าวว่า ศาสนามี "บทบาทสำคัญมากในชีวิตของพ��กเขา" ซึ่งเป็นตัวเลขสูงกว่าของประเทศที่ร่ำรวยอื่นมาก260 ในการสำรวจมติมหาชนปี 2009 ชาวอเมริกัน 42% กล่าวว่า พวกเขาเข้าโบสถ์ทุกสัปดาห์หรือเกือบทุกสัปดาห์ ตัวเลขดังกล่าวแปรผันตั้งแต่ 23% ในรัฐเวอร์มอนต์ จนถึงสูง 63% ในรัฐมิสซิสซิปปี261 ผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัยและผู้ประพันธ์เรียกสหรัฐว่าเป็น "ชาติโปรเตสแตนต์" หรือ "ก่อตั้งบนหลักการโปรเตสแตนต์"262263264265 โดยเน้นมรดกลัทธิคาลวินเป็นพิเศษ266267268

สหรัฐเริ่มเคร่งศาสนาน้อยลงเช่นเดียวกับประเทศตะวันตกอื่น การไม่มีศาสนาเติบโตอย่างรวดเร็วในหมู่ชาวอเมริกันอายุต่ำกว่า 30 ปี269 การสำรวจแสดงว่า ความเชื่อมั่นในศาสนาของชาวอเมริกันโดยรวมเสื่อมลงมาตั้งแต่กลางถึงปลายคริสต์ทศวรรษ 1980270 โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอเมริกันอายุน้อยที่ไม่มีศาสนาเพิ่มขึ้น271 การศึกษาในปี 2012 บ่งชี้ว่าสัดส่วนประชากรสหรัฐที่นับถือโปรเตสแตนต์ลดลงเหลือ 48% ทำให้ยุติสถานภาพเป็นหมวดศาสนาของฝ่ายข้างมากเป็นครั้งแรก272273 ชาวอเมริกันที่ไม่มีศาสนามีบุตร 1.7 คนเทียบกับคริสต์ศาสนิกชน 2.2 คน ผู้ไม่นับถือศาสนายังมีแนวโน้มสมรสน้อยกว่าคริสต์ศาสนิกชน 37% ต่อ 52%274

จากการสำรวจปี 2014 ผู้ใหญ่ 70.6% ระบุตัวเองเป็นคริสต์ศาสนิกชน275 ลดลงจาก 73% ในปี 2012276 โปรเตสแตนต์นิกายต่าง ๆ คิดเป็น 46.5% ในขณะที่นิกายโรมันคาทอลิกคิดเป็น 20.8% เป็นนิกายเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุด277 ศาสนาอื่นนอกเหนือจากศาสนาคริสต์ที่รายงานทั้งหมดในปี 2014 มี 5.9%278 ศาสนาอื่น ๆ ได้แก่ ศาสนายูดาห์ (1.9%), ศาสนาอิสลาม (0.9%), ศาสนาฮินดู, (0.7%) ศาสนาพุทธ (0.7%)279 การสำรวจยังรายงานว่าชาวอเมริกัน 22.8% ระบุตัวเองว่าอไญยนิยม, อเทวนิยมหรือไม่มีศาสนา เพิ่มขึ้นจาก 8.2% ในปี 1990280281282 นอกจากนี้ยังมีชุมชน ยูนิทาเรียนยูนิเวอร์แซลิสต์, ศาสนาบาไฮ, ศาสนาซิกข์, ศาสนาเชน, ลัทธิชินโต, ลัทธิขงจื๊อ, ลัทธิเต๋า, ดรูอิด, พื้นเมืองอเมริกัน, วิคะ, มนุษยนิยม, และเทวัสนิยม283

โปรเตสแตนต์เป็นกลุ่มศาสนาคริสต์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ มีคริสตจักรแบปทิสต์รวมกันเป็นนิกายโปรเตสแตนต์ที่ใหญ่ที่สุด และสหคริสตจักรแบปทิสต์ใต้ (Southern Baptist Convention) เป็นนิกายโปรเตสแตนต์เดี่ยวที่ใหญ่สุด ชาวอเมริกันประมาณ 26% ระบุตนเป็นโปรเตสแตนต์อีวานเจลิคัล (Evangelical Protestant) ส่วน 15% เป็นสายหลัก (Mainline) และ 7% เป็นคริสตจักรดำดั้งเดิม โรมันคาทอลิกในสหรัฐมีเหง้าในการทำให้ทวีปอเมริกาเป็นอาณานิคมของสเปนและฝรั่งเศส และต่อมาขยายตัวเนื่องจากการเข้าเมืองของชาวไอริช อิตาลี โปแลนด์ เยอรมันและสเปน รัฐโรดไอแลนด์มีร้อยละของคาทอลิกสูงสุดโดยมี 40% ของประชากร284 นิกายลูเทอแรนในสหรัฐกำเนิดจากการเข้าเมืองจากยุโรปเหนือและประเทศเยอรมนี รัฐนอร์ทและเซาท์ดาโคตาเป็นเพียงสองรัฐที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นลูเทอร์แรนมากกว่า ผู้เข้าเมืองชาวสกอตและสกอตอัลสเตอร์เผยแผ่นิกายเพรสไบทีเรียนในทวีปอเมริกาเหนือ แม้นิกายดังกล่าวได้เผยแผ่ทั่วสหรัฐ แต่กระจุกอยู่ในชายฝั่งตะวันออกเป็นหลัก มีการก่อตั้งกลุ่มผู้นับถือศาสนาปฏิรูปดัตช์ครั้งแรกในนิวอัมสเตอร์ดัม (นครนิวยอร์ก) ก่อนเผยแผ่ไปทางทิศตะวันตก รัฐยูทาห์เป็นรัฐเดียวที่มอรมอนเป็นศาสนาของประชากรส่วนใหญ่ ฉ���วนมอรมอนยังขยายไปถึงบางส่วนของรัฐไอดาโฮ เนวาดาและไวโอมิง285

เข็มขัดไบเบิล (Bible Belt) เป็นภาษาปากใช้เรียกภูมิภาคในภาคใต้ของสหรัฐซึ่งโปรเตสแตนต์อีวานเจลิคัลซึ่งเป็นอนุรักษนิยมทางสังคมเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมและอัตราการเข้าโบสถ์คริสต์ในนิกายต่าง ๆ ปกติสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ ในทางกลับกัน ศาสนามีบทบาทสำคัญน้อยในเขตนิวอิงแลนด์และภาคตะวันตกของสหรัฐ286

โครงสร้างครอบครัว

ในปี 2007 ชาวอเมริกันอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป 58% สมรส 6% เป็นม่าย 10% หย่าร้าง และ 25% ไม่เคยสมรส287 ขณะนี้หญิงส่วนใหญ่ทำงานนอกบ้าน และสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีมากกว่าชาย288

อัตราการตั้งครรภ์วัยรุ่นสหรัฐอยู่ที่ 26.5 คนต่อ 1,000 คน อัตราดังกล่าวลดลง 57% จากปี 1991289 ในปี 2013 อัตราเกิดวัยรุ่นสูงสุดอยู่ในรัฐแอลาบามา และต่ำสุดในรัฐไวโอมิง290291 การทำแท้งชอบด้วยกฎหมายทั่วทั้งสหรัฐ เนื่องจากคดีระหว่างโรและเวด (Roe v. Wade) คำวินิจฉัยบรรทัดฐานในปี 1973 ของศาลสูงสุดแห่งสหรัฐ แม้อัตราการทำแท้งจะลดลง แต่อัตราทำแท้ง 241 ต่อ 1,000 การคลอดมีชีพและอัตราการทำแท้ง 15 คนต่อ 1,000 คนในหญิงอายุระหว่าง 15–44 ปีก็ยังสูงกว่าอัตราของชาติตะวันตกส่วนใหญ่292 ในปี 2013 อายุเฉลี่ยของการคลอดครั้งแรกอยู่ที่ 26 ปีและ 40.6% ของการเกิดเกิดกับหญิงไม่สมรส293

มีการประมาณอัตราเจริญพันธุ์รวมของปี 2013 ไว้ที่ 1.86 การเกิดต่อหญิง 1 คน294 การรับบุตรบุญธรรมในสหรัฐมีทั่วไปและค่อนข้างง่ายจากมุมมองกฎหมายเมื่อเทียบกับประเทศตะวันตกอื่น295 ในปี 2001 ด้วยการรับบุตรบุญธรรมกว่า 127,000 คน สหรัฐคิดเป็นเกืบอกึ่งหนึ่งของจำนวนการรับบุตรบุญธรรมทั้งหมดทั่วโลก296 การสมรสเพศเดียวกันชอบด้วยกฎหมายทั่วประเทศและคู่สมรสเพศเดียวกันสามารถรับบุตรบุญธรรมได้ตามกฎหมาย พหุสามีภริยาไม่ชอบด้วยกฎหมายทั่วทั้งสหรัฐ297

การเมืองการปกครอง

สหรัฐเป็นสหพันธรัฐเก่าแก่ที่สุดในโลกที่ยังรอดมาถึงปัจจุบัน เป็นสาธารณรัฐแบบมีรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน "ซึ่งการถือเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์มากถูกจำกัดโดยสิทธิฝ่ายข้างน้อยที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย"298 มีการวางระเบียบการปกครองด้วยระบบตรวจสอบและถ่วงดุลที่นิยามตามรัฐธรรมนูญสหรัฐ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ299 สำหรับปี 2016 สหรัฐจัดอยู่ในอันดับที่ 21 ตามดัชนีประชาธิปไตย300 และอันดับที่ 18 ในดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน301

ในระบบสหพันธรัฐนิยมอเมริกา ปกติพลเมืองอยู่ใต้บังคับแห่งการปกครองสามระดับ คือ สหพันธรัฐ รัฐและท้องถิ่น หน้าที่รัฐบาลท้องถิ่นปกติแบ่งกันระหว่างรัฐบาลเทศมณฑล (county) และองค์การเทศบาล ในเกือบทุกกรณี ข้าราชการฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติมาจากการเลือกตั้งแบบคะแนนเสียงที่เหนือกว่าของพลเมืองแบ่งตามเขต ไม่มีการมีผู้แทนตามสัดส่วนในระดับสหพันธรัฐ และพบน้อยในระดับล่างกว่า302

รัฐบาลกลางประกอบด้วยสามอำนาจ ได้แก่

สภาผู้แทนราษฎรมีสมาชิกออกเสียงลงคะแนน 435 คน แต่ละคนเป็นผู้แทนของเขตรัฐสภาเป็นสมัยสองปี ที่นั่งของสภาผู้แทนราษฎรมีการจัดสัดส่วนตามรัฐแบ่งตามประชากรทุกสิบปี ในสำมะโนปี 2010 เจ็ดรัฐมีผู้แทนขั้นต่ำหนึ่งคน ส่วนรัฐแคลิฟอร์เนนีย รัฐที่มีประชากรมากที่สุด มี 53 คน307

วุฒิสภามีสมาชิก 100 คน โดยแต่ละรัฐมีสมาชิกวุฒิสภาสองคน ได้รับเลือกตั้งโดยไม่แบ่งเขตมีวาระละ 6 ปี ตำแหน่งวุฒิสภาหนึ่งในสามมีการเลือกตั้งปีเว้นปี ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งวาระละ 4 ปี และอาจได้รับเลือกตั้งได้ไม่เกินสองครั้ง ประธานาธิบดีมิได้เลือกตั้งจากคะแนนเสียงโดยตรง แต่มาจากระบบคณะผู้เลือกตั้งทางอ้อมซึ่งกำหนดคะแนนเสียงที่จัดสัดส่วนให้แก่รัฐและเขตโคลัมเบีย ศาลสูงสุด ซึ่งมีประธานศาลสูงสุดแห่งสหรัฐเป็นหัวหน้า มีสมาชิกเก้าคน ซึ่งดำรงตำแหน่งตลอดชีพ308

[thumb|upright= 0.9|อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพในนครนิวยอร์กเป็นสัญลักษณ์ของทั้งสหรัฐและอุดมการณ์เสรีภาพ ประชาธิปไตยและโอกาส309](ไฟล์:Liberty-statue-from-below.jpg "wikilink")

รัฐบาลรัฐมีโครงสร้างคล้าย ๆ กัน แต่รัฐเนแบรสกามีสภานิติบัญญัติที่ใช้ระบบสภาเดียวต่างจากรัฐอื่น310 ผู้ว่าการแต่ละรัฐ (หัวหน้าฝ่ายบริหาร) มาจากการเลือกตั้งโดยตรง ผู้พิพากาษาและคณะรัฐมนตรีของบางรัฐมาจากการแต่งตั้งของผู้ว่าการของรัฐนั้น ๆ แต่บางรัฐมาจากการเลือกตั้งของประชาชน

ข้อความดั้งเดิมของรัฐธรรมนูญกำหนดโครงสร้างและความรับผิดชอบของรัฐบาลกลางและความสัมพันธ์กับรัฐหนึ่ง ๆ มาตรา 1 คุ้มครองสิทธิหมายสั่งให้ส่งตัวผู้ถูกคุมขังมาศาล รัฐธรรมนูญมีการแก้ไขเพิ่มเติม 27 ครั้ง311 การแก้ไขเพิ่มเติมสิบครั้งแรก ซึ่งรวมเรียว่า รัฐบัญญัติสิทธิ (Bill of Rights) และการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 14 ก่อเป็นรากฐานกลางของสิทธิปัจเจกของชาวอเมริกัน กฎหมายและวิธีดำเนินการปกครองทั้งหมดอยู่ภายใต้การพิจารณาทบทวนโดยศาลและกฎหมายที่ศาลวินิจฉัยว่าละเมิดรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะ ศาลสูงสุดสถาปนาหลักการพิจารณาทบทวนโดยศาล แม้มิได้กล่าวไว้ชัดเจนในรัฐธรรมนูญ ในคดีระหว่างมาร์บูรีกับเมดิสัน (Marbury v. Madison) ปี 1803312

เขตรัฐ��ิจ

[thumb|left|แผนที่เขตเศรษฐกิจเขตเศรษฐกิจจำเพาะของสหรัฐ313 แสดงรัฐ ดินแดนและการครอบครอง](ไฟล์:US.EEZ_Pacific_centered_NOAA_map.png "wikilink")

สหรัฐเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐประกอบด้วย 50 รัฐ เขตสหพันธรัฐ ห้าดินแดนและเกาะที่ไม่มีคนอยู่อาศัยสิบเอ็ดเกาะ314 รัฐและดินแดนเป็นเขตการปกครองหลักในประเทศ แบ่งเป็นเขตย่อยเทศมณฑลและนครอิสระ เขตโคลัมเบียเป็นเขตสหพันธรัฐซึ่งมีเมืองหลวงของสหรัฐ คือ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. รัฐและเขตโคลัมเบียเลือกประธานาธิบดีสหรัฐ แต่ละรัฐมีผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีเทียบเท่ากับผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาในรัฐสภา เขตโคลัมเบียมีสามคน315

เขตรัฐสภามีการกำหนดจำนวนผู้แทนตามส่วนของพลเมืองใหม่ของรัฐหลังสำมะโนประชากรทุกสิบปี แล้วแต่ละรัฐเป็นเขตสมาชิกหนึ่งให้เป็นไปตามการจัดสัดส่วนสำมะโน มีจำนวนผู้แทนราษฎรทั้งหมด 435 คน และสมาชิกรัฐสภาผู้แทนเป็นตัวแทนของเขตโคลัมเบียและห้าดินแดนหลักของสหรัฐ316

สหรัฐยังมีอำนาจอธิปไตยชนเผ่า (tribal sovereignty) ของชาติอเมริกันอินเดียนในขอบเขตจำกัด เช่นเดียวกับอำนาจอธิปไตยของรัฐ อเมริกันอินเดียนเป็นพลเมืองสหรัฐและดินแดนชนเผ่าอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐสภาสหรัฐและศาลสหพันธรัฐ เช่นเดียวกับรัฐ ชนเผ่ามีอัตตาณัติสูง แต่ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกาศสงคราม มีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศชองตนเอง หรือพิมพ์และออกเงินตรา317

พรรคการเมืองและการเลือกตั้ง

สหรัฐใช้ระบบสองพรรคมาเกือบตลอดประวัติศาสตร์318 สำหรับตำแหน่งเลือกตั้งแทบทุกระดับ การเลือกตั้งผู้สมัครรอบแรกที่รัฐจัดการเลือกผู้ได้รับเสนอชื่อของพรรคการเมืองหลักสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปในเวลาต่อมา นับแต่การเลือกตั้งทั่วไปปี 1856 พรรคการเมืองหลักได้แก่ พรรคเดโมแครตซึ่งก่อตั้งในปี 1824 และพรรคริพับลิกันซึ่งก่อตั้งในปี 1854 นับแต่สงครามกลางเมือง มีผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีจากพรรคที่สามเพียงคนเดียว คือ อดีตประธานาธิบดีธีโอดอร์ โรสเวลต์ ซึ่งมาจากพรรคก้าวหน้าในปี 1912 ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งผ่านระบบคณะผู้เลือกตั้ง319

ภายในวัฒนธรรมการเมืองอเมริกา พรรครีพับลิกันฝ่ายกลางขวาถือว่าเป็น "อนุรักษนิยม" และพรรคเดโมแครตฝ่ายกลางซ้ายถือว่าเป็น "เสรีนิยม"320321 รัฐภาคตะวันออกเฉียงเหนือและชายฝั่งตะวันตกและรัฐเกรตเลกส์บางรัฐรู้จักกันในนาม "รัฐน้ำเงิน" ค่อนข้างเป็นเสรีนิยม "รัฐแดง" ในภาคใต้และบางส่วนของเกรตเพลนส์และเทือกเขาร็อกกีค่อนข้างเป็นอนุรักษนิยม

โจ ไบเดินจากพรรคเดโมแครต ผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020 ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 46 ผู้นำปัจจุบันในวุฒิสภา ได้แก่ รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริสจากพรรคเดโมแครต ประธานชั่วคราวแพทริก ลีฮี (Patrick Leahy) จากพรรคเดโมแครต หัวหน้าฝ่ายข้างมาก ชัก ชูเมอร์ (Chuck Schumer) และหัวหน้าฝ่ายข้างน้อย มิตช์ แม็กคอนเนล (Mitch McConnell) ผู้นำในสภาผู้แทนราษฎร ได้แก่ ประธานสภาผู้แทนราษฎรแนนซี เพโลซี หัวหน้าฝ่ายข้างมาก สเตนี ฮอยเยอร์ (Steny Hoyer) และหัวหน้าฝ่ายข้างน้อย เควิน แม็กคาธี (Kevin McCarthy)

ในรัฐสภาสหรัฐสมัยที่ 117 พรรคเดโมแครตครองทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ปัจจุบันวุฒิสภามีเดโมแครต 48 คน และอิสระ 2 คนซึ่งประชุมลับกับเดโมแครต รีพับลิกัน 50 คน สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยรีพับลิกัน 221 คนและเดโมแครต 211 คน ในตำแหน่งผู้ว่าการรัฐ มีรีพับลิกัน 27 คน เดโมแครต 23 คน ในบรรดานายกเทศมนตรี ดี.ซี. และผู้ว่าการดินแดน 5 คน มีรีพับลิกัน 2 คน เดโมแครต 1 คน ก้าวหน้าใหม่ 1 คนและอิสระ 2 คน

ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ

[thumb|สำนักงานใหญ่สหประชาชาติสร้างขึ้นในใจกลางเมืองแมนฮัตตันในปี 1952322](ไฟล์:67º_Período_de_Sesiones_de_la_Asamblea_General_de_Naciones_Unidas_(8020913157).jpg "wikilink")

สหรัฐมีโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศซึ่งได้รับการยอมรับ เป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และนครนิวยอร์กเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่สหประชาชาติ เป็นสมาชิกจี7323 จี20 และองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา เกือบทุกประเทศมีสถานเอกอัครราชทูตในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และหลายประเทศมีสถานกงสุลทั่วประเทศ ในทำนองเดียวกัน เกือบทุกประเทศมีคณะทูตอเมริกันอยู่ อย่างไรก็ตาม อิหร่าน เกาหลีเหนือ ภูฏานและสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ไม่มีความสัมพันธ์ทางทูตอย่างเป็นทางการกับสหรัฐ (แม้สหรัฐยังมีความสัมพันธ์กับไต้หวันและส่งยุทธภัณฑ์ให้)324

สหรัฐมี "ความสัมพันธ์พิเศษ" กับสหราชอาณาจักร325 และความสัมพันธ์เหนียวแน่นกับประเทศแคนาดา326 ออสเตรเลีย,327 นิวซีแลนด์328 ฟิลิปปินส์329 ญี่ปุ่น330 เกาหลีใต้331 อิสราเอล332 และอีกหลายประเทศสหภาพยุโรป รวมถึงประเทศฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมนีและสเปน สหรัฐทำงานอย่างใกล้ชิดกับสมาชิกนาโตด้วยกันในประเด็นทางทหารและความมั่นคง และกับประเทศเพื่อนบ้านโดยผ่านองค์การนานารัฐอเมริกัน และข้อตกลงการค้าเสรี เช่น ความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือไตรภาคีกับประเทศแคนาดาและเม็กซิโก ในปี 2008 สหรัฐใช้งบประมาณสุทธิ 25,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐในการช่วยเหลือพัฒนาอย่างเป็นทางการ ซึ่งมากที่สุดในโลก อย่างไรก็ตาม การให้เงินช่วยเหลือของสหรัฐ 0.18% เมื่อเทียบเป็นสัดส่วนของรายได้มวลรวมประชาชาติของสหรัฐ ทำให้จัดอยู่อันดับสุดท้ายในบรรดารัฐบริจาค 22 ประเทศ ในทางตรงข้าม การให้เงินต่างประเทศของเอกชนโดยชาวอเมริกันค่อนข้างเผื่อแผ่333

สหรัฐใช้อำนาจและความรับผิดชอบด้านการป้องกันประเทศระหว่างประเทศอย่างสมบูรณ์สำหรับสามรัฐเอกราชผ่านความตกลงระหว่างประเทศสมาคมอิสระ (Compact of Free Association) กับไมโครนีเซีย หมู่เกาะมาร์แชลล์และปาเลา ประเทศเหล่านี้เป็นชาติเกาะแปซิฟิก ซึ่งเคยเป็นดินแดนในภาวะทรัสตีหมู่เกาะแปซิฟิก (Trust Territory of the Pacific Islands) ที่สหรัฐบริหารหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งได้รับเอกราชในเวลาต่อมา334

การคลังภาครัฐ

thumb|425px|หนี้สินรัฐบาลกลางสหรัฐที่ภาครัฐบาลถือครองเป็นร้อยละของจีดีพี ตั้งแต่ปี 1790 ถึง 2013335

ภาษีในสหรัฐมีการจัดเก็บในระดับรัฐบาลสหพันธรัฐ รัฐและท้องถิ่น ภาษีเหล่านี้รวมถึงภาษีรายได้, หักจากค่าจ้าง, ทรัพย์สิน, การขาย, นำเข้า, มรดกและการให้ ตลอดจนค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ในปี 2010 ภาษีที่รัฐบาลกลาง รัฐ และเทศบาลจัดเก็บได้คิดเป็น 24.8% ของจีดีพี336 ช่วงปีงบประมาณ 2012 รัฐบาลกลางจัดเก็บรายได้จากภาษีประมาณ 2.45 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ, เพิ่มขึ้น 147,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 6% เมื่อเทียบกับรายได้ 2.30 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐของปีงบประมาณ 2011 หมวดหมู่หลักได้แก่ ภาษีรายได้บุคคลธรรมดา (1,132,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 47%) ภาษีหลักประกันสังคม/การประกันสังคม (845,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 35%) และภาษีนิติบุคคล (242,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 10%)337 ตามการประมาณของสำนักงานงบประมาณของรัฐสภา338 ภายใต้กฎหมายภาษีปี 2013 ผู้มีรายได้สูงสุด 1% จะจ่ายอัตราภาษีเฉลี่ยสูงสุดนับแต่ปี 1979 ส่วนกลุ่มรายได้อื่นยังอยู่ในอัตราต่ำสุดเป็นประวัติการณ์339

โดยทั่วไปการเก็บภาษีอากรของสหรัฐเป็นแบบก้าวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษีรายได้ของรัฐบาลกลาง และเป็นแบบก้าวหน้ามากที่สุดในประเทศพัฒนาแล้ว340341342343344 ผู้มีรายได้สูงสุด 10% จ่ายภาษีของรัฐบาลกลางส่วนใหญ่345 และเกือบครึ่งหนึ่งของภาษีทั้งหมด346 ภาษีหักจากค่าจ้างสำหรับหลักประกันสังคมเป็นภาษีถดถอยแนวราบ โดยไม่มีการเก็บภาษีกับรายได้เกิน 118,500 ดอลลาร์สหรัฐ (สำหรับปี 2015 และ 2016) และไม่เก็บภาษีเลยสำหรับผู้ไม่มีรายได้จากหลักทรัพย์และกำไรส่วนทุน347348 การให้เหตุผลเดิมสำหรับสภาพถดถอยของภาษีหักจากค่าจ้าง คือ โครงการการให้สิทธิ์ไม่ถูกมองเป็นการโอนสวัสดิการ349350 ทว่า ตามข้อมูลของสำนักงานงบประมาณของรัฐสภา ผลลัพธ์สุทธิของหลักประกันสังคม คือ อัตราประโยชน์ต่อภาษีมีพิสัยตั้งแต่ประมาณ 70% สำหรับ 20% ของผู้มีรายได้สูงสุดถึงประมาณ 170% สำหรับ 20% ของผู้มีรายได้ต่ำสุด ทำให้ระบบเป็นแบบก้าวหน้า351

ผู้มีรายได้สูงสุด 10% จ่าย 51.8% ของภาษีรัฐบาลกลางทั้งหมดในปี 2009 และผู้มีรายได้สูงสุด 1% ซึ่งมีรายได้ประชาชาติก่อนเสียภาษี 13.4% จ่ายภาษีรัฐบาลกลาง 22.3%352 ในปี 2013 ศูนย์นโยบายภาษีพยากรณ์ว่าอัตราภาษียังผลของรัฐบาลกลาง 35.5% สำหรับผู้มีรายได้สูงสุด 1%, 29.7% สำหรับผู้มีรายได้สูงสุด 20%, 13.8% สำหรับผู้มีรายได้ปานกลางและ −2.7% สำหรับผู้มีรายได้ต่ำสุด353354 ภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นประเด็นกรณีโต้เถียงที่กำลังดำเนินอยู่มาหลายทศวรรษ355<ref>Tax incidence of corporate tax in the United States:

  • </ref>

    ภาษีรัฐและท้องถิ่นแตกต่างกันมาก แต่โดยทั่วไปเป็นแบบถดถอยน้อยกว่าภาษีรัฐบาลกลางเพราะการจัดเก็บภาษีนั้นอาศัยภาษีการขายและทรัพย์สอนแบบถดถอยซึ่งให้กระแสรายได้ที่ลบเลือนได้น้อยกว่า แม้รวมภาษีเหล่านี้ด้วยแล้ว การจัดเก็บภาษีโดยรวมก็ยังเป็นแบบก้าวหน้า356357

ระหว่างปีงบประมาณ 2012 รัฐบาลกลางใชังบประมาณหรือเกณฑ์เงินสด 3.54 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.7 % เมื่อเทียบกับปีงบประมาณ 2011 ที่ใช้ 3.60 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ รายจ่ายหมวดหลักในปีงบประมาณ 2012 ได้แก่ เมดิแคร์และเมดิเคด (802,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 23% ของรายจ่าย), หลักประกันสังคม (768,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 22%), กระทรวงกลาโหม (670,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 19%) ดุลยพินิจนอกเหนือจากการกลาโหม (615,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 17%) รายจ่ายบังคับอื่น (461,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 13%) และดอกเบี้ย (223,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 6%)358

หนี้สินของชาติทั้งหมดของสหรัฐอยู่ที่ 18.527 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (106% ของจีดีพี) ในปี 2014359 สหรัฐมีการจัดอันดับเครดิต AA+ จากสแตนดาร์ดแอนด์พัวส์, AAA จากฟิตช์ และ AAA จากมูดีส์360

กองทัพ

ประธานาธิบดีมีตำแหน่งผู้บัญชาการทหาร และแต่งตั้งหัวหน้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะเสนาธิการร่วม กระทรวงกลาโหมของสหรัฐบริหารกองทัพ รวมทั้งกองทัพบก, กองทัพเรือ, เหล่านาวิกโยธิน, และกองทัพอากาศ หน่วยยามฝั่งดำเนินการโดยกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิในยามสงบและกระทรวงทหารเรือในยามสงคราม ในปี 2008 กองทัพมีกำลังพลประจำการ 1.4 ล้านนาย หรือ 2.3 ล้านนายหากนับรวมกำลังสำรองและกำลังป้องกันชาติ กระทรวงกลาโหมว่าจ้างพลเรือนประมาณ 700,000 คน ไม่นับรวมผู้รับเหมา361

thumb|กลุ่มโจมตีเรือบรรทุกเครื่องบิน คิตตีฮอว์ก, โรนัลด์ เรแกน และอับราฮัม ลินคอล์น กับเครื่องบินจากเหล่านาวิกโยธิน, กองทัพเรือและกองทัพอากาศ

ราชการทหารเป็นแบบสมัครใจ แม้อาจมีการเกณฑ์ทหารในยามสงครามผ่านระบบราชการคัดเลือก (Selective Service System)362 กำลังอเมริกาสามารถวางกำลังได้อย่างรวดเร็วโดยกลุ่มอากาศยานขนส่งขนาดใหญ่ของกองทัพอากาศ เรือบรรทุกอากาศยานประจำการ 11 ลำของกองทัพเรือ และหน่วยรบนอกประเทศนาวิกโยธินในทะเลกับกองเรือแอตแลนติกและแปซิฟิกของกองทัพเรือ กองทัพมีฐานทัพและศูนย์ 865 แห่งนอกประเทศ363 และมีกำลังพลประจำการกว่า 100 นายใน 25 ประเทศ364

งบประมาณทางทหารของสหรัฐในปี 2011 อยู่ที่ 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 41% เป็นรายจ่ายทางทหารทั่วโลกและเท่ากับรายจ่ายทางทหารของ 14 ชาติที่มีรายจ่ายมากรองลงมารวมกัน อัตรางบประมาณทางทหารอยู่ที่ 4.7% ของจีดีพี ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดอันดับสองในบรรดาประเทศที่มีรายจ่ายทางทหารสูงสุด 15 ประเทศ รองจากประเทศซาอุดีอาระเบีย365 รายจ่ายกลาโหมของสหรัฐเมื่อเทียบเป็นร้อยละของจีดีพีจัดเป็นอันดับที่ 23 ของโลกในปี 2012 ตามข้อมูลของซีไอเอ366 สัดส่วนรายจ่ายกลาโหมของสหรัฐโดยทั่วไปลดลงในทศวรรษหลัง จากช่วงสงครามเย็นที่สูงสุดที่ 14.2% ของจีดีพีในปี 1953 และ 69.5% ของรายจ่ายรัฐบาลกลางใน 1954 ลงมาที่ 4.7 % ของจีดีพี และ 18.8 % ของรายจ่ายรัฐบาลกลางในปี 2011367

ฐานงบประมาณกระทรวงกลาโหมที่เสนอไว้สำหรับปี 2012 มูลค่า 553,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 4.2% จากปี 2011 หรือเพิ่ม 118,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับการทัพในประเทศอิรักและอัฟกานิสถาน368 ทหารอเมริกันชุดสุดท้ายที่รับราชการในประเทศอิรักออกจากประเทศในเดือนธันวาคม 2011369 ข้าราชการทหาร 4,484 นายถูกฆ่าระหว่างสงครามอิรัก370 มีทหารสหรัฐประมาณ 90,000 นายกำลังรับราชการอยู่ในประเทศอัฟกานิสถานในเดือนเมษายน 2012371 ณ วันที่ 8 พฤศจิกายน 2013 มีทหารเสียชีวิต 2,285 นายในสงครามในอัฟกานิสถาน372

อาชญากรรมและการบังคับใช้กฎหมาย

thumb|การบังคับใช้กฎหมายในสหรัฐเป็นความรับผิดชอบของกรมตำรวจท้องถิ่นเป็นหลัก373

การบังคับใช้กฎหมายในสหรัฐเป็นความรับผิดชอบหลักของตำรวจท้องที่ และหน่วยงานของนายอำเภอ (sheriff) โดยมีตำรวจของรัฐบริการกว้างกว่า กรมตำรวจนครนิวยอร์กเป็นตำรวจท้องที่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ หน่วยงานของรัฐบาลกลาง เช่น สำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) และราชการพนักงานศาลแขวง (Marshals Service) ของสหรัฐมีหน้าที่ชำนัญพิเศษ ซึ่งรวมการพิทักษ์สิทธิพลเมือง ความมั่นคงของชาติและบังคับใช้คำวินิจฉัยของศาลกลางและกฎหมายกลางของสหรัฐ374 ในระดับรัฐบาลกลางและในเกือบทุกรัฐ ระบบกฎหมายใช้แบบคอมมอนลอว์ ศาลของรัฐตัดสินคดีอาญาส่วนใหญ่ ศาลกลางรับผิดชอบอาชญากรรมที่กำหนดบางอย่างตลอดจนคดีอุทธรณ์จากศาลอาญาของรัฐ การต่อรองคำรับสารภาพในสหรัฐพบดาษดื่น คดีอาญาส่วนใหญ่ในประเทศระงับด้วยการต่อรองคำรับสารภาพมิใช่การพิจารณาของคณะลูกขุน375

ในปี 2015 มีการฆ่าคน 15,696 ครั้ง ซึ่งมากกว่าปี 2014 จำนวน 1,532 ครั้ง หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.8 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับแต่ปี 1971376 อัตราการฆ่าคนในปี 2015 อยู่ที่ 4.9 คนต่อประชากร 100,000 คน377 ในปี 2016 อัตราการฆ่าคนเพิ่มขึ้น 8.6% โดยมีการฆ่าคน 17,250 ครั้งในปีนั้น378 อัตราการชำระคดี (clearance rate) สำหรับการฆ่าคนของประเทศในปี 2015 อยู่ที่ร้อยละ 64.1 เมื่อเทียบกับร้อยละ 90 ในปี 1965379 ในปี 2012 มีการฆ่าคน 4.7 คนต่อประชากร 100,000 คนในสหรัฐ ลดลงร้อยละ 54 จากยอดสูงสุด 10.2 ในปี 1980380 ในปี 2001–2 สหรัฐมีระดับอาชญากรรมรุนแรงสูงกว่าค่าเฉลี่ย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งความรุนแรงจากปืนสูงเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอื่น381 การวิเคราะห์ตามขวางของฐานข้อมูลการตายขององค์การอนามัยโลกจากปี 2010 แสดงว่าสหรัฐ "มีอัตราการฆ่าคนสูงกว่าประเทศรายได้สูงอื่น 7.0 เท่า ซึ่งมีสาเหตุจากอัตราการฆ่าคนด้วยปืนซึ่งสูงกว่าประเทศอื่น 25.2 เท่า"382 สิทธิความเป็นเจ้าของปืนเป็นหัวข้อการถกเถียงทางการเมืองพิพาท

ตั้งแต่ปี 1980 ถึง 2008 ชายคิดเป็นร้อยละ 77 ของผู้ถูกฆ่า และร้อยละ 90 ของผู้ก่อเหตุ ผิวดำก่อเหตุฆ่าคนร้อยละ 52.5 ของทั้งหมดในช่วงนั้น เป็นอัตราเกือบแปดเท่าของผิวขาว (ซึ่งรวมฮิสแปนิกส่วนใหญ่) และเป็นผู้เสียหายมากเป็นหกเท่าของผิวขาว การฆ่าคนส่วนใหญ่เป็นคนผิวเดียวกัน โดยผู้ถูกฆ่าผิวดำร้อยละ 93 ถูกผิวดำฆ่า และผิวขาว 84% ถูกผิวขาวฆ่า383 ในปี 2012 รัฐลุยเซียนามีอัตราการฆ่าคนและการทำให้คนตายโดยประมาทสูงสุด และรัฐนิวแฮมพ์เชียร์มีอัตราต่ำสุด384 รายงานอาชญากรรมเอกรูปของเอฟบีไอประมาณว่ามีอาชญากรรมรุนแรงและอาชญากรรมต่อทรัพย์สิน 3,246 ครั้งต่อผู้อยู่อาศัย 100,000 คนในปี 2012 รวมมีอาชญากรรมทั้งสิ้นกว่า 9 ล้านครั้ง385

มีการอนุมัติโทษประหารชีวิตในสหรัฐสำหรับอาชญากรรมรัฐบาลกลางและทหารบางอย่าง และมีใช้ใน 31 รัฐ386 ไม่มีการประหารชีวิตระหว่างปี 1967 ถึง 1977 บางส่วนเนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลสูงสุดสหรัฐวางข้อกำหนดโทษประหารชีวิตตามอำเภอใจ ในปี 1976 ศาลสูงสุดวินิจฉัยว่าภายใต้พฤติการณ์ที่เหมาะสม อาจบังคับโทษประหารชีวิตได้ตามรัฐธรรมนูญ นับแต่คำวินิจฉัยนั้น มีการประหารชีวิตกว่า 1,300 ครั้ง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในสามรัฐ ได้แก่ รัฐเท็กซัส เวอร์จิเนียและโอกลาโฮมา387 ขณะเดียวกัน หลายรัฐเลิกหรือให้โทษประหารชีวิตเป็นโมฆะ ในปี 2015 สหรัฐมีจำนวนการประหารชีวิตสูงสุดในโลกเป็นอันดับห้า รองจากประเทศจีน อิหร่าน ปากีสถานและซาอุดีอาระเบีย388

สหรัฐมีอัตราการกักขังที่มีบันทึกและประชากรเรือนจำทั้งหมดสูงสุดในโลก389 ตั้งแต่ต้นปี 2008 มีประชากรกว่า 2.3 ล้านคนถูกกักขัง คิดเป็นกว่า 1 คนในผู้ใหญ่ 100 คน390 ในเดือนธันวาคม 2012 ระบบการดัดสันดานผู้ใหญ่ของสหรัฐรวมควบคุมดูแลผู้กระทำผิดประมาณ 6,937,000 คน ผู้อยู่อาศัยผู้ใหญ่ประมาณ 1 ใน 35 คนในสหรัฐอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลการดัดสันดานอย่างใดอย่างหนึ่งในเดือนธันวาคม 2012 ซึ่งเป็นอัตราต่ำสุดเท่าที่สังเกตมาตั้งแต่ปี 1997391 ประชากรเรือนจำเพิ่มขึ้นสี่เท่าตั้งแต่ปี 1980392 และรายจ่ายของรัฐและท้องถิ่นด้านเรือนจำและคุกเพิ่มขึ้นสามเท่าของรายข่ายด้านศึกษาธิการในช่วงเวลาเดียวกัน393 อย่างไรก็ดี อัตราการจำคุกสำหรับนักโทษทุกคนที่ได้รับโทษจำคุกมากกว่าหนึ่งปีในสถานที่ของรัฐหรือรัฐบาลกลางอยู่ที่ 478 คนต่อ 100,000 คนในปี 2013394 และอัตรานักโทษก่อนพิจารณา/ระหว่างพิจรารณาอยู่ที่ 153 คนต่อผู้อยู่อาศัย 100,000 คนในปี 2012395 อัตราการกักขังที่สูงของประเทศนี้ส่วนใหญ่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงแนวทางปฏิบัติคำพิพากษาและนโยบายยาเสพติด396 จากข้อมูลของกรมเรือนจำกลาง ผู้ต้องขังส่วนมากที่ถูกขังในเรือนจำกลางต้องโทษความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด397 การโอนกิจการของรัฐเป็นของเอกชนซึ่งเรือนจำและราชการเรือนจำซึ่งเริ่มในคริสต์ทศวรรษ 1980 เป็นหัวข้อถกเถียง398399 ในปี 2008 รัฐลุยเซียนามีอัตราการกักขังสูงสุด400 ส่วนรัฐเมนมีต่ำสุด401

เศรษฐกิจ

ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ
จีดีพีตามตัวเลข
การเติบโตของจีดีพีจริง
อัตราเงินเฟ้อ ซีพีไอ
สัดส่วนการจ้างงานต่อประชากร
การว่างงาน
อัตราการมีส่วนร่วมแรงงาน
หนี้สาธารณะ
มูลค่าสุทธิครัวเรือน

thumb|275px|แผนผังรายการส่งออกของสหรัฐปี 2011: สหรัฐเป็นผู้ส่งออกใหญ่เป็นอันดับสองของโลก

สหรัฐมีเศรษฐกิจแบบผสมทุนนิยม402 ซึ่งขับเคลื่อนโดยทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์และผลิตภาพที่สูง403 จากข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของสหรัฐอยู่ที่ 16.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 24% ของผลิตภัณฑ์รวมของโลกที่อัตราแลกเปลี่ยนตลาด และกว่า 19% ของผลิตภัณฑ์รวมของโลกที่อำนาจซื้อเสมอภาค (PPP)404

จีดีพีตามตัวเลขของสหรัฐโดยประมาณอยู่ที่ 17.528 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2014405 ตั้งแต่ปี 1983 ถึง 2008 การเติบโตของจีดีพีต่อปีแบบทบต้นแท้จริง (real compounded annual GDP growth) อยู่ที่ 3.3% เทียบกับค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก 2.3% สำหรับประเทศจี7 ที่เหลือ406 จีดีพีต่อหัวสหรัฐจัดอยู่อันดับเก้าของโลก407408 และมีจีดีพีต่อหัวที่พีพีพีอันดับหก409 ดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินตราสำรองหลักของโลก410

สหรัฐเป็นประเทศผู้นำเข้าสินค้ารายใหญ่สุดและเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่เป็นอันดับสอง แม้การส่งออกต่อหัวจะค่อนข้างต่ำ ในปี 2010 การขาดดุลการค้าทั้งหมดของสหรัฐอยู่ที่ 635,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ411 ประเทศแคนาดา จีน เม็กซิโก ญี่ปุ่น และเยอรมนีเป็นคู่ค้ารายใหญ่สุด412 ในปี 2010 น้ำมันเป็นโภคภัณฑ์นำเข้ามากที่สุด ขณะที่อุปกรณ์ขนส่งเป็นสินค้าออกใหญ่ที่สุดของประเทศ413 ประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้ถือหนี้สาธารณะต่างชาติรายใหญ่สุดของสหรัฐ414 ผู้ถือหนี้สหรัฐสูงสุดเป็นองค์การของสหรัฐเอง รวมทั้งบัญชีของรัฐบาลกลางและระบบธนาคารกลางที่ถือหนี้ส่วนใหญ่415416417418

ในปี 2009 ประมาณว่าภาคเอกชนประกอบเป็น 86.4% ของเศรษฐกิจ โดยกิจกรรมของรัฐบาลกลางคิดเป็น 4.3% และกิจกรรมของรัฐและรัฐบาลท้องถิ่น (รวมเงินโอนของรัฐบาลกลาง) เป็น 9.3% ที่เหลือ419 จำนวนลูกจ้างของรัฐบาลทุกระดับมากกว่าลูกจ้างในส่วนการผลิต 1.7 ต่อ 1420 ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐถึงระดับการพัฒนาหลังอุตสาหกรรม (postindustrial) แล้วโดยภาคบริการประกอบเป็น 67.8% ของจีดีพี แต่สหรัฐยังเป็นประเทศอุตสาหกรรม421 สาขาธุรกิจชั้นนำตามรายการรับ (gross business receipt) ได้แก่การค้าส่งและปลีก ส่วนภาคการผลิตเป็นภาคที่มีรายรับสุทธิสูงสุด422 ในแบบธุรกิจแฟรนไชส์ แมคโดนัลด์และซับเวย์เป็นยี่ห้อที่รู้จักกันแพร่หลายที่สุดในโลกสองยี่ห้อ โคคา-โคล่าเป็นบริษัทน้ำอัดลมที่คนทั่วโลกรู้จักกันดีที่สุด423

เคมีภัณฑ์เป็นสาขาการผลิตชั้นนำ424 สหรัฐเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่สุดของโลก และเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่สุดอันดับสอง425 สหรัฐเป็นผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าและนิวเคลียร์อันดับหนึ่ง ตลอดจนแก๊สธรรมชาติเหลว กำมะถัน ฟอสเฟต และเกลือ

แม้ว่าภาคเกษตรกรรมมีสัดส่วนน้อยกว่า 1% ของจีดีพี426 แต่สหรัฐเป็นผู้ผลิตข้าวโพด427 และถั่วเหลืองรายใหญ่สุดของโลก428 สหรัฐเป็นผู้ผลิตและปลูกอาหารดัดแปรพันธุกรรมหลัก โดยคิดเป็นกึ่งหนึ่งของพืชไบโอเทคของโลก429

การใช้จ่ายของผู้บริโภคมีสัดส่วนเป็น 68% ของเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2015430 ในเดือนสิงหาคม 2010 มีแรงงานอเมริกัน 154.1 ล้านคน สาขาการจ้างงานใหญ่สุด คือ ภาครัฐบาล 21.2 ล้านคน การจ้างงานภาคเอกชนใหญ่สุดคือ สาธารณสุขและการสังคมสงเคราะห์ จำนวน 16.4 ล้านคน คนงานประมาณ 12% อยู่ในสหภาพ เทียบกับ 30% ในยุโรปตะวันตก431 ธนาคารโลกจัดสหรัฐอยู่อันดับหนึ่งในด้านความง่ายในการจ้างและไล่คนงาน432 สหรัฐจัดอยู่อันดับต้นหนึ่งในสามในรายงานความสามารถการแข่งขันโลก (Global Competitiveness Report) เช่นกัน สหรัฐมีรัฐสวัสดิการขนาดเล็กและกระจายรายได้ผ่านการกระทำของรัฐบาลน้อยกว่าชาติยุโรป433

สหรัฐเป็นประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้าประเทศเดียวที่ไม่รับประกันการหยุดงานโดยจ่ายค่าจ้าง (paid vacation) แก่คนงาน434 และเป็นเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่ไม่มีการหยุดงานเลี้ยงบุตรโดยจ่ายค่าจ้าง (family leave) เป็นสิทธิตามกฎหมาย โดยมีประเทศอื่น เช่น ปาปัวนิวกินี ซูรินาม ไลบีเรีย435 แม้ปัจจุบันกฎหมายกลางไม่รับประกันการลาป่วย แต่เป็นผลประโยชน์ทั่วไปของคนงานของรัฐบาลและพนักงานเต็มเวลาของบริษัท436 ตามข้อมูลของกรมสถิติแรงงาน คนงานอเมริกันเต็มเวลา 74% ลาหยุดงานโดยได้รับค่าจ้าง แม้คนงานไม่เต็มเวลาเพียง 24% ได้รับผลประโยชน์เดียวกัน437 ในปี 2009 สหรัฐมีผลิตภาพกำลังแรงงานต่อบุคคลสูงสุดเป็นอันดับสามในโลก รองจากลักเซมเบิร์กและนอร์เวย์ สหรัฐมีผลิตภาพต่อชั่วโมงสูงสุดเป็นอันดับสี่ รองจากสองประเทศดังกล่าวและเนเธอร์แลนด์438

ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกปี 2008–2012 มีผลกระทบต่อสหรัฐย่างสำคัญ โดย��ีผลผลิตต่ำกว่าศักยะตามข้อมูลของสำนักงบประมาณของรัฐสภา439 ภาวะดังกล่าวนำมาซึ่งการว่างงานสูง (ซึ่งลดลงแล้วแต่ยังสูงกว่าระดับก่อนภาวะเศรษฐกิจถดถอย) ร่วมกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่ำ การเสื่อมของมูลค่าบ้านอย่างต่อเนื่อง และการเพิ่มการบังคับเอาทรัพย์จำนองหลุดและการล้มละลายของบุคคล วิกฤตหนี้รัฐบาลกลางบานปลาย ภาวะเงินเฟ้อ และราคาปิโตรเลียมและอาหารเพิ่มขึ้น ปัจจุบันยังมีสัดส่วนผู้ว่างงานระยะยาวเป็นสถิติ รายได้ครัวเรือนลดลงอย่างต่อเนื่องและภาษีและงบประมาณรัฐบาลกลางเพิ่มขึ้น

สถาบันวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศสต็อกโฮล์ม (SIPRI) พบว่า อุตสาหกรรมอาวุธของสหรัฐเป็นผู้ส่งออกอาวุธสำคัญรายใหญ่สุดของโลกตั้งแต่ปี 2005 ถึง 2009440 และยังเป็นผู้ส่งออกอาวุธสำคัญรายใหญ่สุดในช่วงระหว่างปี 2010 ถึง 2014 นำหน้าประเทศรัสเซีย จีนและเยอรมนี441

รายได้ ความยากจน และความมั่งคั่ง

thumb|การพัฒนาบ้านจัดสรรในซานโฮเซ รัฐแคลิฟอร์เนีย

ชาวอเมริกันมีรายได้ครัวเรือนและจากการจ้างงานเฉลี่ยสูงสุดในบรรดาชาติองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) และในปี 2007 มีรายได้ครัวเรือนมัธยฐานสูงสุดเป็นอันดับสอง442443444 ตามข้อมูลของสำนักสำมะโน รายได้ครัวเรือนมัธยฐานคือ 59,039 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2016445 แม้ประชากรอเมริกันมีเพียง 4.4% ของประชากรโลก แต่ชาวอเมริกันรวมครอบครองความมั่งคั่ง 41.6% ของโลก446 และเศรษฐีเงินล้าน (millionaire) ประมาณกึ่งหนึ่งของโลกเป็นชาวอเมริกัน447 ดัชนีความมั่นคงอาหารโลกจัดอันดับสหรัฐอยู่อันดับหนึ่งในด้านความสามารถมีอาหาร (food affordability) และความมั่นคงอาหารโดยรวมในเดือนมีนาคม 2013448 ชาวอเมริกันเฉลี่ยมีพื้นที่อยู่อาศัยต่อเคหสถานและต่อบุคคลสูงกว่าผู้อยู่อาศัยในสหภาพยุโรปกว่าสองเท่า และมากกว่าประเทศสหภาพยุโรปทุกประเทศ449 ในปี 2013 โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติจัดอันดับดัชนีการพัฒนามนุษย์ของสหรัฐอยู่อันดับ 5 จาก 187 และดัชนีการพัฒนามนุษย์ที่ปรับตามความไม่เสมอภาคแล้วอยู่อันดับที่ 28450

หลังการเติบโตชะงักมาหลายปี ในปี 2016 ข้อมูลจากสำมะโนระบุว่า รายได้ครัวเรือนมัธยฐานแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลังการเติบโตสูงสุดสองปีติดต่อกัน แม้ว่าความไม่เสมอภาคของรายได้ยังสูงสุดโดยผู้มีรายได้สูงสุด 20% มีรายได้มากกว่าครึ่งของรายได้รวมทั้งหมด451 มีช่องว่างระหว่างผลิตภาพและรายได้มัธยฐานกว้างขึ้นนับแต่คริสต์ทศวรรษ 1970452 ทว่า ช่องว่างระหว่างค่าตอบแทนทั้งหมดและผลิตภาพไม่กว้างเท่าอันเนื่องมาจากมีผลประโยชน์ของลูกจ้างเพิ่มขึ้น เช่น ประกันสุขภาพ453 ผู้มีรายได้สูงสุดร้อยละ 1 มีสัดส่วนรายได้ต่อปีเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าจากร้อยละ 9 ในปี 1976 เป็นร้อยละ 20 ในปี 2011 กระทบต่อความไม่เสมอภาคของรายได้อย่างสำคัญ454 ทำให้สหรัฐเป็นประเทศที่มีการกระจายรายได้กว้างที่สุดในบรรดาประเทศโออีซีดีประเทศหนึ่ง455 ผู้มีรายได้สูงสุดร้อยละ 1 คิดเป็นร้อยละ 52 ของการเพิ่มขึ้นของรายได้ตั้งแต่ปี 2009 ถึงปี 2015 ทั้งนี้ นิยามรายได้ว่าเป็นรายได้ตลาดไม่รวมเงินโอนของรัฐบาล456

19982013เปลี่ยนแปลง
ทุกครอบครัว$102,500$81,200-20.8%
รายได้ต่ำสุด 20%$8,300$6,100-26.5%
รายได้ต่ำสุดรองลงมา 20%$47,400$22,400-52.7%
รายได้กลาง 20%$76,300$61,700-19.1%
รายได้สูงสุด 10%$646,600$1,130,700+74.9%

ความมั่งคั่งสุทธิมัธยฐานของครอบครัวสหรัฐ |+ align="bottom" style="caption-side: bottom; text-align: right;" | ที่มา: การสำรวจการคลังผู้บริโภคของระบบธนาคารกลางสหรัฐ457

ความมั่งคั่ง รายได้และภาษี กระจุกสูง กล่าวคือ ประชากรผู้ใหญ่ที่รวยที่สุด 10% ครอบครองความมั่งคั่งครัวเรือนของประเทศ 72% ในขณะที่ผู้มีรายได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยครอบครองเพียง 2%458 ระหว่างเดือนมิถุนายน 2007 ถึงพฤศจิกายน 2008 ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกทำให้ราคาสินทรัพย์ตกลงทั่วโลก ทรัพย์สินที่ชาวอเมริกันถือครองเสียมูลค่าประมาณหนึ่งในสี่459 นับแต่ความมั่งคั่งครัวเรือนสูงสุดในไตรมาสที่สองของปี 2007 ความมั่งคั่งครัวเรือนลดลง 14 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่นับจากนั้นเพิ่มขึ้น 14 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐกว่าระดับเมื่อปี 2006460461 เมื่อสิ้นปี 2014 หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 11.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ462 ลดลงจาก 13.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อสิ้นปี 2008463

มีประชากรไร้บ้านแบบมีและไม่มีที่อยู่อาศัยประมาณ 578,424 คนในสหรัฐในเดือนมกราคม 2014 โดยเกือบสองในสามอาศัยอยู่ในที่อยู่อาศัยฉุกเฉินหรือโครงการเคหะช่วงเปลี่ยนสภาพ464 ในปี 2011 มีเด็ก 16.7 ล้านคนอาศยอยู่ในครัวเรือนที่ไม่มีความปลอดภัยทางอาหาร เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับระดับปี 2007 แม้เด็กสหรัฐเพียง 1.1% หรือ 845,000 คนกินอาหารลดลงหรือมีรูปแบบการกินถูกรบกวนในช่วงใดช่วงหนึ่งของปีนั้น และแทบทั้งสิ้นไม่เป็นแบบเรื้อรัง465 ตามรายงานปี 2014 ของกรมสำมะโน ปัจจุบันผู้ใหญ่ตอนต้นหนึ่งในห้าคนยากจน เพิ่มขึ้นจากหนึ่งในเจ็ดในปี 1980466

โครงสร้างพื้นฐาน

การขนส่ง

[thumb|ระบบทางหลวงอินเตอร์สเตตซึ่งมีความยาว 75,440 กิโลเมตร467](ไฟล์:Map_of_current_Interstates.svg "wikilink")

การขนส่งส่วนบุคคลใช้รถยนต์เป็นหลัก สหรัฐมีเครือข่ายถนนสาธารณะของ 6.4 ล้านกิโลเมตร468 มีระบบทางหลวงที่ยาวที่สุดในโลกแห่งหนึ่งซึ่งยาว 91,700 กิโลเมตร469 สหรัฐเป็นตลาดรถยนต์ใหญ่สุดอันดับสองของโลก470 สหรัฐมีอัตราการเป็นเจ้าของยานพาหนะต่อหัวสูงสุดในโลก โดยมี 765 คันต่ออเมริกัน 1,000 คน471 ประมาณ 40% ของยานพาหนะส่วนบุคคลเป็นรถตู้, รถอเนกประสงค์ (SUV) หรือรถบรรทุกเบา472 ผู้ใหญ่อเมริกันโดยเฉลี่ย (นับรวมหมดทั้งผู้ขับและผู้ไม่ขับ) ใช้เวลา 55 นาทีขับรถ เดินทาง 47 กิโลเมตรต่อวัน473

การเดินทางไปทำงานในสหรัฐใช้ขนส่งมวลชนประมาณ 9%474475 มีการขนส่งสินค้าทางรางอย่างกว้างขวาง แต่มีจำนวนผู้โดยสารค่อนข้างต่ำ (ประมาณ 31 ล้านคนต่อปี) ใช้รถรางระหว่างนครเดินทาง สาเหตุส่วนหนึ่งเพราะความหนาแน่นของประชากรด้านในแผ่นดินของสหรัฐส่วนใหญ่ต่ำ476477 อย่างไรก็ดี จำนวนผู้โดยสารแอมแทร็ก ซึ่งเป็นระบบรางโดยสารระหว่างนครแห่งชาติ เติบโตเกือบ 37% ระหว่างปี 2000 ถึง 2010478 นอกจากนี้ มีการพัฒนารางเบาเพิ่มขึ้นในช่วงปีหลัง ๆ479 มีการใช้จักรยานไปทำงานเป็นประจำมีน้อยมาก480

อุตสาหกรรมสายการบินพลเรือนมีเอกชนเป็นเจ้าของทั้งหมด และส่วนใหญ่เลิกกำกับ (deregulate) ไปตั้งแต่ปี 1978 ขณะที่ท่าอากาศยานสำคัญส่วนมากเป็นของรัฐบาล481 สายการบินใหญ่สุดในโลกนับจากจำนวนผู้โดยสาร 3 สายเป็นของสหรัฐ; อเมริกันแอร์ไลนส์เป็นที่หนึ่งหลังจากยูเอสแอร์เวย์ซื้อในปี 2013482 ในจำนวนท่าอากาศยานที่หนาแน่นที่สุดในโลก 50 แห่ง มี 16 แห่งอยู่ในสหรัฐ รวมทั้งที่หนาแน่นที่สุด ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติฮาร์ทสฟิลด์–แจ็คสัน แอตแลนตา และอันดับสี่ ท่าอากาศยานนานาชาติโอแฮร์ในชิคาโก483 หลังเหตุโจมตี 11 กันยายน 2001 มีการตั้งการความปลอดภัยขนส่งเพื่อตรวจตราท่าอากาศยานและสายการบินพาณิชย์

พลังงาน

[thumb|สายส่งไฟฟ้าของสหรัฐประกอบด้วยสายยาว 300,000 กิโลเมตร มีผู้ดำเนินการประมาณ 500 บริษัท โดยมีบริษัทความเชื่อถือได้ทางไฟฟ้าอเมริกาเหนือ (NERC) เป็นผู้ควบคุมดูแล](ไฟล์:UnitedStatesPowerGrid.jpg "wikilink")

ตลาดพลังงานสหรัฐมีประมาณ 29,000 ชั่วโมงเทระวัตต์ต่อปี484 การบริโภคพลังงานต่อหัวมี 7.8 ตันเทียบเท่าน้ำมันต่อปี คิดเป็นอัตราสูงสุดอันดับ 10 ในโลก ในปี 2005 พลังงาน 40% มาจากปิโตรเลียม 23% จากถ่านหิน และ 22% มาจากแก๊สธรรมชาติ ส่วนที่เหลือมาจากพลังงานนิวเคลียร์และแหล่งพลังงานหมุนเวียน485 สหรัฐเป็นผู้บริโภคปิโตรเลียมรายใหญ่สุดของโลก486 สหรัฐมีแหล่งสำรองถ่านหินทั่วโลก 27%487 สหรัฐเป็นผู้ผลิตแก๊สธรรมชาติและน้ำมันดิบที่ใหญ่ที่สุดในโลก488

พลังงานนิวเคลียร์มีบทบาทจำกัดเมื่อเทียบกับหลายประเทศพัฒนาแล้วอื่นเป็นเวลาหลายทศวรรษ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการรับรู้ของประชาชนเนื่องจากอุบัติเหตุในปี 1979 ในปี 2007 มีการยื่นคำร้องขอเปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งใหม่489

การประปาและสุขาภิบาล

ปัญหาซึ่งมีผลต่อการประปาในสหรัฐรวมถึงภัยแล้งในภาคตะวันตก การขาดแคลนน้ำ มลภาวะ การลงทุนค้าง ความกังวลเกี่ยวกับการหาน้ำได้ของผู้ยากจนที่สุด และกำลังแรงงานที่กำลังเกษียณอย่างรวดเร็ว คาดหมายว่าความแปรผันได้และความรุนแรงของฝนตกที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเป็นผลให้เกิดทั้งภัยแล้งและอุทกภัยที่รุนแรงขึ้น โดยมีผลลัพธ์ที่อาจร้ายแรงต่อการประปาและมลภาวะที่เกิดจากท่อระบายรวมล้น490491

ภัยแล้งน่าจะมีผลกระทบเป็นพิเศษต่อชาวอเมริกันร้อยละ 66 ซึ่งชุมชนอาศัยน้ำผิวโลก492 ในด้านคุณภาพน้ำดื่ม มีความกังวลเกี่ยวกับผลพลอยได้ของการฆ่าเชื้อ ตะกั่ว เพอร์คลอเรตและสารยา แต่โดยทั่วไปน้ำดื่มในสหรัฐมีคุณภาพดี493

การศึกษา

[thumb|มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียซึ่งทอมัส เจฟเฟอร์สันก่อตั้งในปี 1819 เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่งในสหรัฐ ในสหรัฐมีการศึกษาที่รัฐบาลให้ทุนสนับสนุนถ้วนหน้า แต่ก็มีสถาบันที่เอกชนให้ทุนสนับสนุนด้วย](ไฟล์:University-of-Virginia-Rotunda.jpg "wikilink")

การศึกษาสาธารณะของสหรัฐมีรัฐบาลรัฐและท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการ กระทรวงศึกษาธิการสหรัฐวางระเบียบผ่านการจำกัดเงินอุดหนุนของรัฐบาลกลาง รัฐส่วนใหญ่บังคับให้เด็กเข้าศึกษาตั้งแต่อายุหกหรือเจ็ดขวบ (โดยทั่วไปคืออนุบาลหรือเกรด 1) จนอายุได้ 18 ปี (โดยทั่วไปถึงเกรด 12 จบไฮสกูล) บางรัฐอนุญาตให้นักเรียนออกจากโรงเรียนได้เมื่ออายุ 16 หรือ 17 ปี494

เด็กประมาณ 12% ลงทะเบียนในโรงเรียนเอกชนวงแคบหรือไม่นิยมนิกาย (nonsectarian) เด็กประมาณ 2% ได้รับการศึกษาที่บ้าน495 สหรัฐมีรายจ่ายด้านศึกษาธิการต่อนักเรียนหนึ่งคนมากกว่าประเทศอื่นใดในโลก โดยมีรายจ่ายกว่า 11,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อนักเรียนประถมหนึ่งคนในปี 2010 และกว่า 12,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อนักเรียนไฮสกูลหนึ่งคน496 นักศึกษาวิทยาลัยสหรัฐประมาณ 80% เข้ามหาวิทยาลัยรัฐ497

สหรัฐมีสถาบันอุดมศึกษาเอกชนและรัฐบาลแข่งขันกันจำนวนมาก มหาวิทยาลัยอันดับต้น ๆ ของโลกส่วนใหญ่ที่องค์การจัดอันดับต่าง ๆ ทำรายการไว้อยู่ในสหรัฐ498499500 นอกจากนี้ ยังมีวิทยาลัยชุมชนท้องถิ่นซึ่งโดยทั่วไปมีนโยบายรับนักศึกษาที่เปิดกว้างกว่า มีโครงการวิชาการสั้นกว่าและค่าเรียนน้อยกว่า ชาวอเมริกันอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป 84.6% จบไฮสกูล 52.6% เข้าวิทยาลัย 27.2% สำเร็จปริญญาตรี และ 9.6% สำเร็จปริญญาบัณฑิต (graduate degree)501 อัตราการรู้หนังสือขั้นพื้นฐานอยู่ประมาณ 99%502503 สหประชาชาติกำหนดให้สหรัฐมีดัชนีการศึกษา 0.97% อยู่อันดับที่ 12 ในโลก504

สำหรับรายจ่ายสาธารณะในด้านอุดมศึกษา สหรัฐยังตามหลังประเทศ OECD บางประเทศ แต่คิดเป็นรายจ่ายต่อหัวมากกว่าค่าเฉลี่ยของ OECD และมากกว่าทุกประเทศในรายจ่ายภาครัฐและเอกชนรวมกัน505506 ในปี 2012 หนี้กู้ยืมเพื่อการศึกษาเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าชาวอเมริกันที่เป็นหนี้บัตรเครดิต507

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

[thumb|นักบินอวกาศเจมส์ เออร์วินกำลังเดินบนดวงจันทร์ถัดจากส่วนลงจอดและยานสำรวจดวงจันทร์ของอะพอลโล 15 ในปี 1971 ความพยายามไปดวงจันทร์เป็นผลมาจากการแข่งขันอวกาศ](ไฟล์:Apollo_15_flag,_rover,_LM,_Irwin_cropped.jpg "wikilink") สหรัฐเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีมาตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และการวิจัยวิทยาศาสตร์ตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 สหรัฐพัฒนาวิธีการผลิตชิ้นส่วนสับเปลี่ยนได้โดยคลังอาวุธกลาง กระทรวงสงครามสหรัฐ ระหว่างครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 19 เทคโนโลยีดังกล่าว ร่วมกับการสถาปนาอุตสาหกรรมเครื่องมือกล ทำให้สหรัฐผลิตเครื่องจักรเย็บผ้า จักรยานและสินค้าอื่นขนาดใหญ่ได้ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และกลายมาเป็นระบบการผลิตแบบอเมริกา มีการติดตั้งไฟฟ้าในโรงงานในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 และการริเริ่มสายการผลิตและเทคนิคประหยัดแรงงานแบบอื่นก่อให้เกิดระบบที่เรียก การผลิตขนานใหญ่ (mass production)508

ในปี 1876 อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ได้รับสิทธิบัตรสหรัฐครั้งแรกสำหรับโทรศัพท์ ห้องปฏิบัติการของทอมัส เอดิสันได้พัฒนาหีบเสียง หลอดไฟที่ใช้ได้นานหลอดแรกและกล้องภาพยนตร์ที่ทำงานได้ตัวแรก509 ซึ่งการพัฒนากล้องดังกล่าวทำให้เกิดอุตสาหกรรมบันเทิงทั่วโลก ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 บริษัทรถยนต์ของแรนซัม อี. โอลส์และเฮนรี ฟอร์ดทำให้สายการผลิตเป็นที่นิยม ในปี 1903 พี่น้องตระกูลไรต์ขับเครื่องบินครั้งแรกโดยใช้เครื่องบินพลังงานที่หนักกว่าอากาศแบบคงทนและควบคุมได้510

ความรุ่งเรืองของฟาสซิสต์และนาซีในคริสต์ทศวรรษ 1930 ทำให้นักวิทยาศาสตร์ยุโรปจำนวนมาก รวมทั้ง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, เอนรีโก แฟร์มี และจอห์น ฟอน นอยมันน์เข้าเมืองสหรัฐ511 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง โครงการแมนฮัตตันพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ นำไปสู่ยุคอะตอม ขณะที่การแข่งขันด้านอวกาศสร้างความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในด้านจรวด, วัสดุศาสตร์ และวิชาการบิน512513

การประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์ในคริสต์ทศวรรษ 1950 ส่วนประกอบสำคัญในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ทั้งหมด นำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีจำนวนมากและการขยายอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐอย่างสำคัญ514515516 จากนั้นนำไปสู่การก่อตั้งบริษัทและภูมิภาคเทคโนโลยีใหม่จำนวนมากรอบประเทศ อย่างเช่น ในซิลิคอนแวลลีย์ในรัฐแคลิฟอร์เนีย การก้าวหน้าของบริษัทไมโครโปรเซสเซอร์อเมริกาอย่างแอดแวนซ์ไมโครดีไวซ์ (AMD) และอินเทลร่วมกับทั้งก่อตั้งบริษัทซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ซึ่งรวมอะโดบีซิสเต็มส์ บริษัทแอปเปิล ไอบีเอ็ม ไมโครซอฟท์และซันไมโครซิสเต็มส์และทำให้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นที่นิยม มีการพัฒนาอาร์ปาเน็ต (ARPANET) ในคริสต์ทศวรรษ 1960 เพื่อให้บรรลุข้อกำหนดของกระทรวงกลาโหม และกลายเป็นชุดเครือข่ายชุดแรกซึ่งพัฒนาเป็นอินเทอร์เน็ต517

ความก้าวหน้าดังนี้นำไปสู่การทำให้มีลักษณะบุคคลซึ่งเทคโนโลยีสำหรับการใช้ของปัจเจก518 ในปี 2013 ครัวเรือนอเมริกัน 83.8% เป็นเจ้าของคอมพิวเตอร์อย่างน้อยหนึ่งเครื่อง และ 73.3% มีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง519 ชาวอเมริกัน 91% ยังมีโทรศัพท์เคลื่อนที่ในเดือนพฤษภาคม 2013520

ในคริสต์ศตวรรษที่ 21 ทุนวิจัยและพัฒนาประมาณสองในสามมาจากภาคเอกชน521 สหรัฐเป็นผู้นำของโลกในด้านงานวิจัยวิทยาศาสตร์และอิมแพกแฟกเตอร์ (impact factor)522

สุขภาพ

[thumb|right|โรงพยาบาลนิวยอร์ก-เพรสไบทีเรียนในนค��นิวยอร์กเป็นโรงพยาบาลที่มีผู้ใช้บริการหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก](ไฟล์:NewYorkPresbyterian-Cornell.jpg "wikilink")

สหรัฐมีความคาดหมายการคงชีพที่ 79.8 ปีเมื่อเกิด เพิ่มขึ้นจาก 75.2 ปีในปี 1990523524525 อัตราภาวะการตายของทารกอยู่ที่ 6.17 คนต่อ 1,000 คน ทำให้สหรัฐอยู่ในอันดับที่ 56 นับจากต่ำสุดจากทั้งหมด 224 ประเทศ526

การเพิ่มขึ้นของโรคอ้วนในสหรัฐและการปรับปรุงสุขภาพในด้านอื่นมีส่วนลดอันดับการคาดหมายการคงชีพจากอันดับที่ 11 ของโลกในปี 1987 เหลือ 42 ในปี 2007527 อัตราโรคอ้วนในสหรัฐเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา สูงสุดในบรรดาประเทศอุตสาหกรรม และอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลก528529 ประชากรผู้ใหญ่ประมาณหนึ่งในสามอ้วนและอีกหนึ่งในสามมีน้ำหนักเกิน530 บุคลากรสาธารณสุขถือว่าเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วนเป็นโรคระบาด531

ในปี 2010 โรคหลอดเลือดหัวใจ มะเร็งปอด โรคหลอดเลือดสมอง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและอุบัติเหตุจราจรเป็นสาเหตุทำให้เสียจำนวนปีของชีวิตมากที่สุดในสหรัฐ การเจ็บหลังส่วนล่าง โรคซึมเศร้า โรคระบบกล้ามเนื้อและกระดูก การปวดคอและความวิตกกังวลเป็นสาเหตุทำให้เสียจำนวนปีแก่ทุพพลภาพมากที่สุด ปัจจัยเสี่ยงเป็นอันตรายร้ายแรงที่สุด ได้แก่ อาหารเลว การสูบบุหรี่ โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง ภาวะน้ำตาลสูงในเลือด การขาดการออกกำลังกายและการใช้แอลกอฮอล์ โรคอัลไซเมอร์ การใช้ยาเสพติด โรคไตและมะเร็ง และการพลัดตกหกล้มเป็นสาเหตุทำให้เสียจำนวนปีของชีวิตมากที่สุดในอัตราต่อหัวปรับตามอายุปี 1990532 อัตราการตั้งครรภ์และการแท้งในวัยรุ่นสหรัฐสูงกว่าประเทศตะวันตกอื่นอย่างสำคัญ โดยเฉพาะในหมู่คนดำและฮิสแปนิก533

สหรัฐเป็นผู้นำของโลกในด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ สหรัฐพัฒนาแต่ผู้เดียวหรือมีส่วนร่วมอย่างสำคัญถึง 9 ใน 10 ของนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุดนับตั้งแต่ปี 1975 ตามการสำรวจความเห็นแพทย์ปี 2001 ส่วนสหภาพยุโรปและสวิสเซอร์แลนด์ร่วมกันมีส่วนร่วม 5 นวัตกรรม534 ตั้งแต่ปี 1966 มีชาวอเมริกันได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์มากกว่าประเทศอื่น ตั้งแต่ปี 1989 ถึงปี 2002 มีการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพเอกชนในอเมริกามากกว่าทวีปยุโรปสี่เท่า535 ระบบสาธารณสุขของสหรัฐใช้เงินมากกว่าประเทศอื่นมากเมื่อวัดทั้งรายจ่ายต่อหัวและร้อยละของจีดีพี536

การคุ้มครองสาธารณสุขในสหรัฐเป็นการรวมกันของความพยายามของภาครัฐและเอกชนและไม่ถ้วนหน้า ในปี 2014 ประชากร 13.4 % ไม่มีประกันสุขภาพ537 หัวข้อเกี่ยวกับชาวอเมริกันที่ไม่มีประกันสุขภาพและมีประกันที่ต่ำเกินไปเป็นประเด็นทางการเมืองที่สำคัญ538539 ในปี 2006 รัฐแมสซาชูเซตส์เป็นรัฐแรกที่จะบังคับหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า540 กฎหมายของรัฐบาลกลางที่ผ่านในช่วงต้นปี 2010 มุ่งสร้างระบบประกันสุขภาพเกือบถ้วนหน้าทั่วประเทศในปี 2014 แม้ว่ากฎหมายและผลกระทบบั้นปลายของมันยังเป็นข้อถกเถียงอยู่541542

วัฒนธรรม

สหรัฐเป็นบ้านของหลายวัฒนธรรม และกลุ่มชาติพันธุ์, ประเพณี และค่านิยมต่าง ๆ543544 นอกเหนือจากประชากรอเมริกันพื้นเมือง ชาวฮาวายพื้นเมืองและชาวอะแลสกาพื้นเมือง อเมริกันหรือบรรพบุรุษของพวกเขาเกือบทั้งหมดตั้งรกรากหรือเข้าเมืองภายในห้าศตวรรษที่ผ่านมา545 วัฒนธรรมอเมริกันกระแสหลักเป็นวัฒนธรรมตะวันตกที่แปลงมาจากประเพณีของผู้เข้าเมืองชาวยุโรปที่มีอิทธิพลจากแหล่งอื่น ๆ เป็นจำนวนมาก เช่น ประเพณีที่ทาสจากทวีปแอฟริกานำเข้ามา546547 การเข้าเมืองล่าสุดจากเอเชียและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากละตินอเมริกา เพิ่มการผสมผสานทางวัฒนธรรมที่เรียกว่าเป็นทั้งหม้อหลอมเป็นเนื้อเดียวกันและชามสลัดต่างชนิดกัน ในที่ซึ่งผู้อพยพและลูกหลานของพวกเขายังคงรักษาลักษณะทางวัฒนธรรมที่โดดเด่น548

แกนของวัฒนธรรมอเมริกันก่อตั้งขึ้นโดยชาวอาณานิคมบริติชโปรเตสแตนต์ และเป็นรูปเป็นร่างจากกระบวนการการตั้งถิ่นฐานชายแดน โดยมีลักษณะชาติพันธุ์ที่ถูกแปลงผ่านลงไปที่ลูกหลาน และส่งต่อไปยังผู้เข้าเมืองผ่านทางการผสมกลมกลืน ชาวอเมริกันแต่เดิมมีคุณสมบัติจริยธรรมการทำงานที่เข้มแข็ง ความชอบแข่งขัน และปัจเจกนิยม549 เช่นเดียวกับความเชื่อหนึ่งเดียวใน "หลักความเชื่อถือแบบอเมริกัน" ที่เน้นเสรีภาพ ความเสมอภาค ทรัพย์สินส่วนบุคคล ประชาธิปไตย นิติธรรม และความนิยมการปกครองที่จำกัด550 ชาวอเมริกันมีใจกุศลอย่างมากตามมาตรฐานโลก ตามการศึกษาของบริติชในปี 2006 ชาวอเมริกันอุทิศ 1.67% ของ GDP ให้การกุศล มากกว่าประเทศอื่น ๆ มากกว่าบริติชที่อยู่อันดับสองที่ 0.73 % ถึงสองเท่า และประมาณสิบสองเท่าของฝรั่งเศสที่ 0.14%551552

ฝันอเมริกัน หรือการรับรู้ว่าชาวอเมริกันมีการเปลี่ยนสถานภาพทางสังคมสูง มีบทบาทสำคัญในการดึงดูดผู้เข้าเมือง553 ไม่ว่าการรับรู้นี้เป็นจริงหรือไม่ยังเป็นหัวข้อการอภิปราย554555556557558559 แม้วัฒนธรรมกระแสหลักถือว่า เป็นสังคมที่ไม่มีชนชั้น560 แต่นักวิชาการระบุความแตกต่างอย่างสำคัญระหว่างชนชั้นทางสังคมต่าง ๆ ของประเทศ มีผลต่อการขัดเกลาทางสังคม ภาษาและค่านิยม561 ภาพลักษณ์ตนเอง มุมมองของสังคม และความคาดหวังทางวัฒนธรรมของชาวอเมริกันเกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพของพวกเขาในระดับที่ใกล้ชิดผิดปกติ562 แม้ชาวอเมริกันมีแนวโน้มอย่างมากที่จะให้คุณค่าของความสำเร็จทางเศรษฐกิจและสังคม แต่โดยทั่วไปก็มองว่าการเป็นคนสามัญหรือระดับเฉลี่ยเป็นคุณลักษณะในทางบวก563

อาหาร

[thumb|พายแอปเปิลเป็นอาหารที่ปกติสัมพันธ์กับอาหารอเมริกัน](ไฟล์:Motherhood_and_apple_pie.jpg "wikilink") อาหารอเมริกันกระแสหลักคล้ายกับอาหารในประเทศตะวันตกอื่น ข้าวสาลีเป็นธัญพืชหลัก โดยผลิตภัณฑ์ธัญพืชประมาณสามในสี่ทำจากแป้งข้าวสาลี564 และอาหารหลายชนิดใช้ส่วนประกอบพื้นเมือง เช่น ไก่งวง เนื้อกวาง มันฝรั่ง มันเทศ ข้าวโพด น้ำเต้าและน้ำเชื่อมเมเปิลซึ่งอเมริกันพื้นเมืองและผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยุโรปสมัยแรกเริ่มบริโภค565 อาหารที่ปลูกในท้องถิ่นนี้ถือเป็นเมนูของชาติร่วมกันในวันขอบคุณพระเจ้า ซึ่งเป็นวันหยุดยอดนิยมวันหนึ่งของสหรัฐ ซึ่งชาวอเมริกันบางส่วนประกอบอาหารตามประเพณีเพื่อเฉลิมฉลองโอกาสนั้น566

อาหารอันเป็นลักษณะ เช่น พายแอปเปิล ไก่ทอด พิซซา แฮมเบอร์เกอร์และฮอตดอกมาจากตำรับของผู้เข้าเมืองต่าง ๆ มันฝรั���งทอด อาหารเม็กซิกันอย่างเบอร์ริโตและทาโก และอาหารพาสตาซึ่งรับมาจากแหล่งของอิตาลีอย่างอิสระมีการบริโภคอย่างแพร่หลาย567 ชาวอเมริกันดื่มกาแฟมากกว่าชาสามเท่า568 การตลาดโดยอุตสาหกรรมสหรัฐเป็นเหตุหลักให้ผลิตน้ำส้มและนม เครื่องดื่มอาหารเช้าที่พบทั่วไป569570

อุตสาหกรรมอาหารจานด่วนของสหรัฐ ซึ่งใหญ่ที่สุดในโลก571 นำร่องรูปแบบขับผ่าน (drive-through) ในคริสต์ทศวรรษ 1940572 การบริโภคอาหารจานด่วนทำให้เกิดความกังวลด้านสุขภาพ ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1980 และ 1990 การบริโภคแคลอรีของชาวอเมริกันเพิ่มขึ้น 24%573 การกินอาหารที่ร้านอาหารจานด่วนบ่อยขึ้นสัมพันธ์กับที่ข้าราชการสาธารณสุขเรียกว่า "โรคอ้วนระบาด" ของอเมริกา574 น้ำอัดลมใส่น้ำตาลสูงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง และเครื่องดื่มใส่น้ำตาลคิดเป็นร้อยละ 9 ของการรับแคลอรีของชาวอเมริกัน575

ภาพยนตร์

[thumb|ป้ายฮอลลีวูดในลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย](ไฟล์:PB050006.JPG "wikilink")

ฮอลลีวูด ย่านตอนเหนือของลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นผู้นำในด้านการผลิตภาพยนตร์แห่งหนึ่ง576 นิทรรศการภาพยนตร์พาณิชย์แห่งแรกของโลกจัดขึ้นในนครนิวยอร์กในปี 1894 โดยใช้ไคนีโตสโคปของทอมัส เอดิสัน577 ปีถัดมามีการจัดแสดงพาณิชย์ครั้งแรกซึ่งภาพยนตร์ฉาย (projected film) ในนิวยอร์กเช่นกัน และสหรัฐเป็นแนวหน้าของการพัฒนาภาพยนตร์เสียงในหลายศวรรษถัดมา ตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของสหรัฐส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในและรอบฮอลลีวูด แม้ในคริสต์ศตวรรษที่ 21 จะมีภาพยนตร์ที่มิได้ผลิตที่นี่เพิ่มขึ้น และบริษัทภาพยนตร์ต่างได้รับอิทธิพลจากแรงของโลกาภิวัฒน์578

ผู้กำกับ ดี. ดับเบิลยู. กริฟฟิท ผู้ผลิตภาพยนตร์อันดับหนึ่งของสหรัฐระหว่างยุคภาพยนตร์เงียบ เป็นศูนย์กลางการพัฒนาของไวยากรณ์ภาพยนตร์ และผู้ผลิต/ผู้ประกอบการ วอลต์ ดิสนีย์เป็นผู้นำทั้งในภาพยนตร์แอนิเมชันและการขายภาพยนตร579 ผู้กำกับอย่างจอห์น ฟอร์ดขัดเกลาภาพของอเมริกันโอลด์เวสต์และประวัติศาสตร์ และเช่นเดียวกับผู้อื่นอย่างจอห์น ฮิวสตันขยายโอกาสของภาพยนตร์ด้วยการถ่ายทำสถานี โดยมีอิทธิพลอย่างมากต่อผู้กำกับสมัยหลัง อุตสาหกรรมภาพยนตร์มีปีทอง เรียกกันทั่วไปว่า "ยุคทองของฮอลลีวูด" ตั้งแต่สมัยเสียงตอนต้นถึงต้นคริสต์ทศวรรษ 1960580 โดยมีนักแสดงอย่างจอห์น เวย์นและมาริลิน มอนโรกลายเป็นบุคคลสัญรูป581582 ในคริสต์ทศวรรษ 1970 ผู้กำกับภาพยนตร์อย่างมาร์ติน สกอร์เซซี, ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา และรอเบิร์ต แอลท์แมนเป็นส่วนสำคัญในสิ่งที่ต่อมาเรียก "ฮอลลีวูดใหม่" หรือ "ฮอลลีวูดเรอเนซองส์"583 ภาพยนตร์อาจหาญซึ่งได้รับอิทธิพลจากภาพสัจนิยมของฝรั่งเศสและอิตาลีของสมัยหลังสงคราม584 นับแต่นั้น ผู้กำกับอย่างสตีเฟน สปีลเบิร์ก, จอร์จ ลูคัสและเจมส์ แคเมรอนได้รับชื่อเสียงจากภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ ซึ่งมีลักษณะค่าถ่ายทำสูง และได้รับรายได้สูงในบ็อกซ์ออฟฟิศตอบแทน โดยภาพยนตร์ อวตาร ของแคเมรอน (2009) ได้รับรายได้กว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ585

ภาพยนตร์สำคัญที่ติดอันดับเอเอฟไอ 100 ของสถาบันภาพยนตร์อเมริกันรวมถึง ซิติเซนเคน ของออร์สัน เวลส์ (1941) ซึ่งมักถูกกล่าวขานบ่อย ๆ ว่าเป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมตลอดกาล586587 คาซาบลังกา (1942), เดอะ ก็อดฟาเธอร์ (1972), วิมานลอย (1939), เดอะวิซาร์ดออฟออซ (1939), เดอะแกรดูเอท (1967), ออนเดอะวอเทอร์ฟรอนต์ (1952), ชะตากรรมที่โลกไม่ลืม (1993), ซิงกิงอินเดอะเรน (1952), อิตส์อะวันเดอร์ฟูลไลฟ์ (1946) และ ซันเซ็ตบูลละวาร์ด (1950)588 สำนักศิลป์และศาสตร์ภาพยนตร์จัดรางวัลอะคาเดมี ที่นิยมเรียกว่า ออสการ์ ทุกปีตั้งแต่ปี 1929589 และรางวัลลูกโลกทองคำจัดทุกปีนับแต่เดือนมกราคม 1944590

วรรณกรรม ปรัชญา และศิลปะ

[thumb|upright|มาร์ก ทเวน นักประพันธ์และนักเขียนเรื่องขบขันชาวอเมริกัน](ไฟล์:Mark_Twain,_Brady-Handy_photo_portrait,_Feb_7,_1871,_cropped.jpg "wikilink")

ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ศิลปะและวรรณกรรมอเมริกันรับเจตนารมณ์ส่วนใหญ่จากทวีปยุโรป นักเขียนอย่างแนแธเนียล ฮอว์ธอร์น, เอดการ์ แอลลัน โพและเฮนรี เดวิด ทอโรสถาปนาเสียงวรรณกรรมอเมริกันที่โดดเด่นราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 มาร์ก ทเวนและกวี วอลท์ วิทแมน เป็นบุคคลสำคัญในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษ; เอมิลี ดิกคินสัน ซึ่งแทบไม่มีผู้ใดรู้จักเธอครั้งยังมีชีวิต ปัจจุบันได้รับการยอมรับว่าเป็นกวีอเมริกันคนสำคัญ591 งานที่ถูกมองว่าเป็นการจับภาพลักษณะพื้นฐานของประสบการณ์และคุณลักษณะของชาติ เช่น โมบิดิก ของเฮอร์แมน เมลวิลล์ (1851) การผจญภัยของฮักเคิลเบอร์รี ฟินน์ ของทเวน (1885) และ*รักเธอสุดที่รัก* (The Great Gatsby) ของเอฟ. สกอตต์ ฟิตซ์เจอรัลด์ (1925) อาจได้รับขนานนามว่า "นวนิยายอเมริกันยิ่งใหญ่"592

พลเมืองสหรัฐสิบสองคนได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ล่าสุดคือ บ็อบ ดิลลันในปี 2016 วิลเลียม ฟอล์คเนอร์, เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์และจอห์น สไตน์เบ็คมักจะมีชื่ออยู่ในหมู่นักเขียนที่มีอิทธิพลสูงสุดของคริสต์ศตวรรษที่ 20593 ประเภทของวรรณกรรมยอดนิยม เช่น ตะวันตกและบันเทิงคดีอาชญากรรม ฮาร์ดบอยด์ ที่พัฒนาในสหรัฐ นักเขียนรุ่นบีต (Beat Generation) เปิดแนวทางวรรณกรรมใหม่ ซึ่งมีผู้ประพันธ์หลังสมัยใหม่ เช่น จอห์น บาร์ท, ทอมัส พินชอนและดอน เดอลิลโล594

นักคตินิยมเหนือเหตุผลซึ่งมีทอโรและราล์ฟ วอลโด เอเมอร์สันเป็นผู้นำ สถาปนาขบวนการปรัชญาอเมริกันสำคัญขบวนการแรก หลังสงครามกลางเมือง ชาลส์ แซนเดอร์ เพิร์ซ และวิลเลียม เจมส์และจอห์น ดูอีในขณะนั้นเป็นหัวหน้าในการพัฒนาปฏิบัตินิยม ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 งานของดับเบิลยู. วี. โอ. ไควน์และริชาร์ด รอร์ที และต่อมา โนม ชัมส��ี นำปรัชญาวิเคราะห์มาสู่ส่วนหน้าของวิชาการปรัชญาอเมริกัน จอห์น รอวส์และรอเบิร์ต โนซิกนำการรื้อฟื้นปรัชญาการเมือง คอร์เนล เวสต์และจูดิท บัตเลอร์นำประเพณีแห่งทวีปในวิชาการปรัชญาอเมริกัน นักเศรษฐศาสร์สำนักชิคาโกอย่างมิลตัน ฟรีดแมน, เจมส์ บี. บิวแคนอนและทอมัส โซลกระทบต่อสาขาต่าง ๆ ในปรัชญาสังคมและการเมือง595596

ในด้านทัศนศิลป์ สกุลศิลปะลุ่มแม่น้ำฮัดสันเป็นขบวนการสมัยกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในด้านประเพณีของธรรมชาตินิยมแบบยุโรป จิตรกรรมสัจนิยมของทอมัส เอคินส์ปัจจุบันเป็นที่ยกย่องอย่างแพร่หลาย อาร์เมอรีโชว์ปี 1913 ในนครนิวยอร์ก นิทรรศการศิลปะสมัยใหม่แบบยุโรป ทำให้สาธารณะประหลาดใจและเปลี่ยนฉากศิลปะของสหรัฐ597 จอร์เจีย โอคีฟ, มาร์สเดน ฮาร์ตลีย์และอื่น ๆ ได้ทดลองกับลีลาปัจเจกนิยมแบบใหม่ ขบวนการทางศิลปะที่สำคัญเช่น ลัทธิสำแดงพลังอารมณ์แนวนามธรรมของแจ็กสัน พอลล็อกและวิลเลิม เดอ โกนิง และศิลปะประชานิยมของแอนดี วอร์ฮอลและรอย ลิกเทนสไตน์พัฒนาในสหรัฐเป็นส่วนมาก กระแสของนวนิยม​​และหลังยุคนวนิยมได้นำชื่อเสียงให้กับสถาปนิกอเมริกัน เช่น แฟรงก์ ลอยด์ ไรต์, ฟิลิป จอห์นสันและแฟรงก์ เกห์รี598 ชาวอเมริกันมีความสำคัญในสื่อภาพถ่ายศิลปะสมัยใหม่แต่ช้านาน โดยมีช่างภาพคนสำคัญอย่างอัลเฟรด สติกกลิซ, เอ็ดเวิร์ด สไตน์เคนและแอนเซล แอดัมส์599

[thumb|ไทม์สแควร์ในนครนิวยอร์กเป็นศูนย์กลางย่านโรงละครบรอดเวย์600](ไฟล์:New_york_times_square-terabass.jpg "wikilink")

ผู้ส่งเสริมสำคัญคนแรก ๆ ของโรงละครอเมริกัน คือ พี. ที. บาร์นัม ผู้เริ่มดำเนินงานศูนย์ความบันเทิงแมนฮัตตันตอนล่างในปี 1841 ทีมแฮร์ริแกนและฮาร์ตผลิตสุขนาฏกรรมดนตรีอันเป็นที่นิยมเป็นชุดในนิวยอร์กเริ่มตั้งแต่ปลายคริสต์ทศวรรษ 1870 ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 รูปแบบดนตรีสมยัใหม่ถือกำเนิดขึ้นในบรอดเวย์; เพลงของคีตกวีละครเพลง เช่น เออร์วิง เบอร์ลิน, โคล พอร์เตอร์ และ สตีเฟน ซอนไฮม์กลายเป็นมาตรฐานป๊อป นักเขียนบทละคร ยูจีน โอนีลได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมในปี 1936; นักเขียนบทละครสหรัฐอื่น ๆ ที่ได้รับการยกย่อง รวมถึงผู้ชนะรางวัลพูลิตเซอร์หลายสมัย เทนเนสซี วิลเลียมส์, เอ็ดเวิร์ด อัลบีและออกัส วิลสัน601

แม้ว่าจะเป็นที่รู้จักกันน้อยในขณะนั้น แต่งานของ ชาลส์ ไอฟส์ในคริสต์ทศวรรษ 1910 ทำให้เขากลายเป็นนักแต่งเพลงคนแรกที่สำคัญของสหรัฐในประเพณีคลาสสิก ขณะที่นักทดลอง เช่น เฮนรี เคาเอิล (Henry Cowell) และจอห์น เคจ สร้างแนวทางอเมริกันที่โดดเด่นให้กับเพลงประพันธ์คลาสสิก แอรอน โคปลันด์และจอร์จ เกิร์ชวินพัฒนาภาวะสังเคราะห์ใหม่ของดนตรีป๊อบและคลาสสิก

นักออกแบบท่าเต้น อิซาดอรา ดันแคน และมาร์ธา เกรแฮมช่วยสร้างการเต้นรำสมัยใหม่ ​​ในขณะที่จอร์จ บาลานไชน์และเจอโรม รอบบินส์ เป็นผู้นำบัลเลต์คริสต์ศตวรรษที่ 20

กีฬา

อเมริกันฟุตบอลในด้านต่าง ๆ เป็นกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุด602 เนชันแนลฟุตบอลลีก (NFL) มีผู้ชมเฉลี่ยของลีกกีฬาสูงสุดในโลกทุกชนิด และซูเปอร์โบวล์มีผู้ชมหลายล้านคนทั่วโลก เบสบอลถือเป็นกีฬาประจำชาติสหรัฐตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยที่เมเจอร์ลีกเบสบอล (MLB) เป็นลีกสูงสุด บาสเกตบอลและฮ็อกกีน้ำแข็งเป็นกีฬาทีมอาชีพอันดับต้น ๆ อีกสองชนิด โดยมีลีกสูงสุดคือ สมาคมบาสเกตบอลแห่งชาติ (NBA) และลีกฮอกกี้แห่งชาติ (NHL) ฟุตบอลวิทยาลัยและบาสเกตบอลดึงดูดผู้ชมจำนวนมาก603 ในกีฬาฟุตบอล สหรัฐจัดฟุตบอลโลก 1994 ทีมฟุตบอลแห่งชาติประเภทชายเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 10 ครั้ง และทีมหญิงชนะฟุตบอลโลก 3 ครั้ง เมเจอร์ลีกซอกเกอร์เป็นลีกสูงสุดของฟุตบอลในสหรัฐ (มีทีมอเมริกัน 19 ทีม และแคนาดา 3 ทีม) ตลาดกีฬาอาชีพในสหรัฐมีมูลค่าประมาณ 69,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ใหญ่กว่าตลาดทั้งทวีปยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริการวมกันประมาณ 50%604

มีการจัดกีฬาโอลิมปิกแปดครั้งในสหรัฐ ในปี 2014 สหรัฐได้เหรียญรางวัล 2,400 เหรียญในโอลิมปิกฤดูร้อน มากกว่าทุกประเทศ และ 281 เหรียญในโอลิมปิกฤดูหนาว มากที่สุดเป็นอันดับสองรองจากประเทศนอร์เวย์605 แม้ว่ากีฬาสำคัญของสหรัฐส่วนมากมาจากทว่ปยุโรป แต่กีฬาบาสเกตบอล วอลเลย์บอล สเกตบอร์ดและสโนว์บอร์ดเป็นประดิษฐกรรมของสหรัฐ ซึ่งบางชนิดยังได้รับความนิยมในประเทศอื่นด้วย ลาครอสและโต้คลื่นมาจากกิจกรรมของอเมริกันพื้นเมืองและฮาวายพื้นเมืองซึ่งมีมาก่อนการติดต่อของชาวตะวันตก606 กีฬาเดี่ยวที่มีผู้ชมมากที่สุด ได้แก่ กอล์ฟและการแข่งรถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนาสคาร์607608 รักบี้ยูเนียนถือเป็นกีฬาที่เติบโตเร็วที่สุดในสหรัฐ โดยมีผู้เล่นลงทะเบียนกว่า 115,000 คนและมีผู้เข้าร่วมอีก 1.2 ล้านคน609

ดนตรี

[thumb|150px|รางวัลแกรมมีเป็นรางวัลที่มอบให้ศิลปินดนตรีชั้นนำ](ไฟล์:2003_Technical_Grammy_award.jpg "wikilink") ลีลาจังหวะและเนื้อร้องของดนตรีแอฟริกันอเมริกันมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อดนตรีอเมริกันเป็นส่วนใหญ่ ทำให้มันแตกต่างจากดนตรียุโรป ดนตรีส่วนที่มาจากสำนวนชาวบ้านอย่างบลูส์และที่ปัจจุบันเรียก ดนตรีโอลด์ไทม์ (old-time) นั้นได้รับมาและแปลงเป็นประเภทที่ได้รับความนิยมกับผู้ชมทั่วโลก แจ๊สประดิษฐ์ขึ้นจากบุคคลอย่างหลุยส์ อาร์มสตรองและดุ๊ก เอลลิงตันในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ดนตรีคันทรีพัฒนาขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1920 และบลูส์ในคริสต์ทศวรรษ 1940610

เอลวิส เพรสลีย์และชัค เบอร์รีเป็นผู้บุกเบิกร็อกแอนด์โรลช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1950 ในคริสต์ทศวรรษ 1960 บ๊อบ ดีแลนถือกำเนิดขึ้นจากการรื้อฟื้นดนตรีชาวบ้านจนกลายเป็นผู้เขียนเพลงที่ได้รับการยกย่องสูงสุดคนหนึ่งของสหรัฐ และเจมส์ บราวน์นำการพัฒนาดนตรีฟังก์ การสร้างสรรค์ของสหรัฐช่วงหลัง ๆ รวมถึงฮิปฮอปและดนตรีเฮาส์ ดาราป๊อปอย่างเพรสลีย์, ไมเคิล แจ็กสันและมาดอนนากลายเป็นผู้มีชื่อเสียงทั่วโลก611 เช่นเดียวกับศิลปินดนตรีร่วมสมัยอย่างเทย์เลอร์ สวิฟต์, บริตนีย์ สเปียส์, เคที เพร์รีและบียอนเซ่ ตลอดจนศิลปินฮิปฮอป เจย์-ซี, เอ็มมิเน็มและคานเย เวสต์<ref>*

สื่อ

[thumb|สำนักงานใหญ่ของ บริษัทแพร่สัญญาณอเมริกัน (ABC) ในเมืองนิวยอร์ก](ไฟล์:ABC_77_W66_jeh.JPG "wikilink") ผู้แพร่สัญญาณสี่รายหลักในสหรัฐ ได้แก่ บริษัทแพร่สัญญาณแห่งชาติ (NBC), ระบบแพร่สัญญาณโคลัมเบีย (CBS), บริษัทแพร่สัญญาณอเมริกัน (ABC) และฟ็อกซ์ เครือข่ายโทรทัศน์แพร่สัญญาณสี่รายหลักของสหรัฐเป็นเครือข่ายพาณิชย์ทั้งสิ้น ชา���อเมริกันฟังรายการวิทยุ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นราชการพาณิชย์ โดยเฉลี่ยกว่าสองชั่วโมงครึ่งต่อวัน615

ในปี 1998 สถานีวิทยุพาณิชย์ของสหรัฐเติบโตเป็นสถานีเอเอ็ม 4,793 สถานีและเอฟเอ็ม 5,662 สถานี นอกจากนี้ ยังมีสถานีวิทยุสาธาณะ 1,460 สถานี สถานีเหล่านี้ส่วนมากมีมหาวิทยาลัยและองค์การรัฐวิสาหกิจเป็นผู้ดำเนินการเพื่อวัตถุประสงค์ด้านการศึกษาและมีเงินทุนจากสาธารณะหรือเอกชน การรับสมาชิกและการรับประกันภัยของบริษัท เอ็นพีอาร์เป็นผู้แพร่สัญาณวิทยุสาธารณะจำนวนมาก (เดิมคือ วิทยุสาธารณะแห่งชาติ) เอ็นพีอาร์ถูกก่อตั้งเป็นบริษัทในเดือนกุมภาพันธ์ 1970 ภายใต้รัฐบัญญัติการแพร่สัญญาณสาธารณะปี 1967 องค์การโทรทัศน์ พีบีเอส ก็ถูกก่อตั้งขึ้นจากกฎหมายฉบับเดียวกัน ในวันที่ 30 กันยายน 2014 มีสถานีวิทยุเต็มกำลังจดทะเบียน 15,433 สถานีในสหรัฐตามข้อมูลของคณะกรรมการการสื่อสารกลางสหรัฐ (FCC)616

หนังสือพิมพ์ขึ้นชื่อรวมถึง เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล, เดอะนิวยอร์กไทมส์และยูเอสเอทูเดย์617 แม้ว่าค่าใช้จ่ายของการจัดพิมพ์เพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ราคาของหนังสือพิมพ์โดยทั่วไปยังต่ำอยู่ ทำให้หนังสือพิมพ์อาศัยรายรับจากการโฆษณามากขึ้นและบทความที่บริการสายข่ายหลักจัดหาให้ เช่น แอสโซซิเอเต็ดเพรสหรือรอยเตอส์ สำหรับความครอบคลุมระดับชาติและโลก หนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับในสหรัฐเป็นของเอกชน ไม่ว่าเป็นลูกโซ่ขนาดใหญ่อย่งแกนเน็ตหรือแม็กแคลทชี ซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์หลายสิบหรือหลายร้อยฉบับ ลูกโซ่ขนาดเล็กซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์จำนวนหนึ่ง หรือมีปัจเจกบุคคลหรือครอบครัวเป็นเจ้าของซึ่งพบได้น้อยลงทุกที นครใหญ่มักมี "รายสัปดาห์ทางเลือก" เพื่อส่งเสริมหนังสือพิมพ์รายวันกระแสหลัก ตัวอย่างเช่น เดอะวิลเลจวอยซ์ของนครนิวยอร์ก หรือแอลเอวีกลีของลอสแอนเจลิส ซึ่งเป็นสองฉบับที่ขึ้นชื่อมากที่สุด นครหลักยังสนับสนุนวารสารธุรกิจท้องถิ่น หนังสือพิมพ์การค้าซึ่งเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท้องถิ่น และหนังสือพิมพ์สำหรับกลุ่มชาติพันธุ์และสังคมท้องถิ่น แถบตลกหนังสือพิมพ์อเมริกันฉบับแรก ๆ และหนังสือการ์ตูนอเมริกันเริ่มปรากฏในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในปี 1938 ซูเปอร์แมน ซูเปอร์ฮีโรหนังสือการ์ตูนของดีซีคอมิกส์ พัฒนาเป็นสัญรูปอเมริกัน618 นอกเหนือจากเว็บพอร์ทัลและโปรแกรมค้นหา เว็บไซต์ยอดนิยมได้แก่ เฟซบุ๊ก ยูทูบ วิกิพีเดีย ยาฮู! อีเบย์ แอมะซอนและทวิตเตอร์619

มีสิ่งพิมพ์เผยแพร่กว่า 800 ฉบับผลิตในภาษาสเปน ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้กันมากที่สุดเป็นอันดับสองในสหรัฐรองจากภาษาอังกฤษ620621

เชิงอรรถ

อ้างอิง

บรรณานุกรม

ข้อมูบทางอินเทอร์เน็ต

แหล่งข้อมูลอื่น

รัฐบาล

  • Official U.S. Government Web Portal Gateway to government sites
  • House Official site of the United States House of Representatives
  • Senate Official site of the United States Senate
  • White House Official site of the president of the United States
  • [ Supreme Court] Official site of the Supreme Court of the United States

ประวัติศาสตร์

แผนที่

ภาพ

แหล่งที่มาดั้งเดิม: ${vars.title} แบ่งปันกับ ใบอนุญาต Creative Commons Attribution-ShareAlike 3.0

Footnotes

  1. Greene, Jack P.; Pole, J.R., eds. (2008). A Companion to the American Revolution. pp. 352–361.

  2. Dull, Jonathan R. (2003). "Diplomacy of the Revolution, to 1783, " p. 352, chap. in A Companion to the American Revolution, ed. Jack P. Greene and J. R. Pole. Maiden, Mass.: Blackwell, pp. 352–361. ISBN 1-4051-1674-9.

  3. Cohen, 2004: History and the Hyperpower
    BBC, April 2008: Country Profile: United States of America

  4. DeLear, Byron (July 4, 2013) Who coined 'United States of America'? Mystery might have intriguing answer. "Historians have long tried to pinpoint exactly when the name 'United States of America' was first used and by whom... ...This latest find comes in a letter that Stephen Moylan, Esq., wrote to Col. Joseph Reed from the Continental Army Headquarters in Cambridge, Mass., during the Siege of Boston. The two men lived with Washington in Cambridge, with Reed serving as Washington's favorite military secretary and Moylan fulfilling the role during Reed's absence." Christian Science Monitor (Boston, MA).

  5. คำว่า "สหปาลีรัฐอเมริกา" ปรากฏใน: นิมิตร นามชัย. "สมเด็จย่า" ในสหปาลีรัฐอเมริกา ที่มา: สำนักวิชาการ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. (3qejse5510erol451x5n1v3h) /result.aspx?bib=000000000011235 หนังสือ "สมเด็จย่า" ในสหปาลีรัฐอเมริกา; ปรากฏในชื่อ "สมาคมสยาม ณ สหปาลีรัฐอเมริกา" (The Siamese Alliance in the United of America) ที่มา: สถานทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประวัติสมาคมไทย ณ อเมริกา และในร่างพระราชบัญญัติที่ดินอันเกี่ยวแก่ชนต่างด้าว เลขเสร็จ 3/2467 ลงวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2467 ที่มา: กรมร่างกฎหมาย. ร่างพระราชบัญญัติที่ดินอันเกี่ยวแก่ชนต่างด้าว เป็นต้น

  6. Wilson, Kenneth G. (1993). The Columbia Guide to Standard American English. New York: Columbia University Press, pp. 27–28. ISBN 0-231-06989-8.

  7. Richter, "Ordeals of the Longhouse", in Richter and Merrill, eds., Beyond the Covenant Chain, 11–12.

  8. Walton, 2009, chapter 3

  9. Lemon, 1987

  10. Tadman, 2000, p. 1534

  11. Schneider, 2007, p. 484

  12. Lien, 1913, p. 522

  13. Davis, 1996, p. 7

  14. Quirk, 2011, p. 195

  15. Walton, 2009, pp. 38–39

  16. Foner, Eric. The Story of American Freedom, 1998 p.4-5.

  17. Walton, 2009, p. 35

  18. Alexander von Humboldt, Political Essay on the Kingdom of New Spain, translated by John Black, Vol. 2, London, Longman, 1822, translator’s note, p.322.

  19. "*The Cambridge encyclopedia of human paleopathology *". Arthur C. Aufderheide, Conrado Rodríguez-Martín, Odin Langsjoen (1998). Cambridge University Press. p. 205.

  20. Bianchine, Russo, 1992 pp. 225–232

  21. Kessel, 2005 pp. 142–143

  22. Mercer Country Historical Society, 2005

  23. Stannard, 1993

  24. Ripper, 2008 p. 6

  25. Ripper, 2008 p. 5

  26. Calloway, 1998, p. 55

  27. Greene and Pole, A Companion to the American Revolution p 357. Jonathan R. Dull, A Diplomatic History of the American Revolution (1987) p. 161. Lawrence S. Kaplan, "The Treaty of Paris, 1783: A Historiographical Challenge", International History Review, Sept 1983, Vol. 5 Issue 3, pp 431–442

  28. Boyer, 2007, pp. 192–193

  29. Walton, 2009, p. 43

  30. Gordon, 2004, pp. 27,29

  31. Heinemann, Ronald L., et al., Old Dominion, New Commonwealth: a history of Virginia 1607–2007, 2007 , p.197

  32. Winchester, pp. 198, 216, 251, 253

  33. Smith (2001), Grant, pp. 523–526

  34. Page 7 lists a total slave population of 3,953,760.

  35. De Rosa, Marshall L. (1997). The Politics of Dissolution: The Quest for a National Identity and the American Civil War. Edison, NJ: Transaction. p. 266. .

  36. Winchester, pp. 351, 385

  37. Zinn, 2005

  38. Paige Meltzer, "The Pulse and Conscience of America" The General Federation and Women's Citizenship, 1945–1960," Frontiers: A Journal of Women Studies (2009), Vol. 30 Issue 3, pp. 52–76.

  39. James Timberlake, Prohibition and the Progressive Movement, 1900–1920 (Harvard UP, 1963)

  40. George B. Tindall, "Business Progressivism: Southern Politics in the Twenties," South Atlantic Quarterly 62 (Winter 1963): 92–106.

  41. McDuffie, Jerome; Piggrem, Gary Wayne; Woodworth, Steven E. (2005). U.S. History Super Review. Piscataway, NJ: Research & Education Association. p. 418. .

  42. Winchester pp. 410–411

  43. p. 2.

  44. Kennedy, Paul (1989). The Rise and Fall of the Great Powers. New York: Vintage. p. 358.

  45. The Japan Times|newspaper=The Japan Times|access-date=February 8, 2017|language=en-US}}

  46. Pacific War Research Society (2006). Japan's Longest Day. New York: Oxford University Press. .

  47. Winchester, pp. 305–308

  48. Soss, 2010, p. 277

  49. Fraser, 1989

  50. Ferguson, 1986, pp. 43–53

  51. Williams, pp. 325–331

  52. Charles Krauthammer, "The Unipolar Moment," Foreign Affairs, 70/1, (Winter 1990/1), 23–33.

  53. Winchester, pp. 420–423

  54. "North American Free Trade Agreement (NAFTA)" Office of the United States Trade Representative. Retrieved January 11, 2015.

  55. ;

  56. https://www.washingtonpost.com/lifestyle/kidspost/donald-trump-is-elected-president-of-the-united-states/2016/11/09/58046db4-a684-11e6-ba59-a7d93165c6d4_story.html

  57. Psychology Today|url=https://www.psychologytoday.com/us/blog/the-many-faces-anxiety-and-trauma/202103/how-mass-shootings-leave-emotional-scars-society%7Cwebsite=www.psychologytoday.com%7Clanguage=en-US}}

  58. (area given in square miles)

  59. (area given in square kilometers)

  60. (area given in square kilometers)

  61. Daynes & Sussman, 2010, pp. 3, 72, 74–76, 78

  62. Hays, Samuel P. (2000). A History of Environmental Politics since 1945.

  63. Rothman, Hal K. (1998).The Greening of a Nation? Environmentalism in the United States since 1945

  64. Turner, James Morton (2012). The Promise of Wilderness

  65. "U.S. Legal Permanent Residents: 2012". Office of Immigration Statistics Annual Flow Report.

  66. "Language Spoken at Home by the U.S. Population, 2010", American Community Survey, U.S. Census Bureau, in World Almanac and Book of Facts 2012, p. 615.

  67. Tri-Faith America: How Catholics and Jews Held Postwar America to Its Protestant Promise by Kevin M. Schultz, p. 9

  68. Obligations of Citizenship and Demands of Faith: Religious Accommodation in Pluralist Democracies by Nancy L. Rosenblum, Princeton University Press, 2000 – 438, p. 156

  69. The Protestant Voice in American Pluralism by Martin E. Marty, chapter 1

  70. Media, Minorities, and Meaning: A Critical Introduction — Page 88, Debra L. Merskin – 2010

  71. Scheb, John M.; Scheb, John M. II (2002). An Introduction to the American Legal System. Florence, KY: Delmar, p. 6. .

  72. Feldstein, Fabozzi, 2011, p. 9

  73. Schultz, 2009, pp. 164, 453, 503

  74. Map of the U.S. EEZ omits U.S. claimed Serranilla Bank and Bajo Nuevo Bank which are disputed.

  75. US State Department, Common Core Document of the United States of America "Constitutional, political and legal structure" report by the US State Department to the UN (22). December 30, 2011. viewed July 10,

  76. House of Representatives. History, Art & Archives. Electoral College Fast Facts, viewed August 21, 2015.

  77. House of Representatives. History, Art & Archives, Determining Apportionment and Reapportioning. viewed August 21, 2015.

  78. For the latest data, see
    National Research Council. The Growth of Incarceration in the United States: Exploring Causes and Consequences. Washington, DC: The National Academies Press, 2014. Retrieved May 10,

    Nation Behind Bars: A Human Rights Solution. Human Rights Watch, May 2014. Retrieved May 10, 2014.

  79. Emma Brown and Danielle Douglas-Gabriel (July 7, 2016). Since 1980, spending on prisons has grown three times as much as spending on public education. The Washington Post. Retrieved July 12, 2016.

  80. Selman, Donna and Paul Leighton (2010). Punishment for Sale: Private Prisons, Big Business, and the Incarceration Binge. Rowman & Littlefield Publishers. p. xi. .

    Joe Davidson (August 12, 2016). Private federal prisons – less safe, less secure. The Washington Post. Retrieved August 13, 2016.
    Gottschalk, Marie (2014). Caught: The Prison State and the Lockdown of American Politics. Princeton University Press. p. 70 .
    Peter Kerwin (June 10, 2015). Study finds private prisons keep inmates longer, without reducing future crime. University of Wisconsin–Madison News. Retrieved June 11, 2015.

  81. Wright, Gavin; Czelusta, Jesse (2007). "Resource-Based Growth Past and Present", in Natural Resources: Neither Curse Nor Destiny, ed. Daniel Lederman and William Maloney. World Bank. p.

    1. ISBN 0-8213-6545-2.
  82. "Personal Consumption Expenditures (PCE)/Gross Domestic Product (GDP)" FRED Graph, Federal Reserve Bank of St. Louis

  83. Ray, Rebecca; Sanes, Milla; Schmitt, John (May 2013). No-Vacation Nation Revisited. Center for Economic and Policy Research. Retrieved September 8, 2013.

  84. Bernard. Tara Siegel (February 22, 2013). "In Paid Family Leave, U.S. Trails Most of the Globe". The New York Times. Retrieved August 27, 2013.

  85. Mishel, Lawrence (April 26, 2012). The wedges between productivity and median compensation growth. Economic Policy Institute. Retrieved October 18, 2013.

  86. Alvaredo, Facundo; Atkinson, Anthony B.; Piketty, Thomas; Saez, Emmanuel (2013). "The Top 1 Percent in International and Historical Perspective". Journal of Economic Perspectives. Retrieved August 16, 2013.

  87. Focus on Top Incomes and Taxation in OECD Countries: Was the crisis a game changer? OECD, May 2014. Retrieved May 1, 2014.

  88. Saez, Emmanuel (June 30, 2016). "Striking it Richer: The Evolution of Top Incomes in the United States". University of California, Berkeley. Retrieved September 15, 2017.

  89. Piketty, Thomas (2014). Capital in the Twenty-First Century. Belknap Press. p. 257

  90. "Americans' wealth drops $1.3 trillion". CNN Money. June 11, 2009.

  91. New Census Bureau Statistics Show How Young Adults Today Compare With Previous Generations in Neighborhoods Nationwide. United States Census Bureau, December 4, 2014.

  92. "China Expressway System to Exceed US Interstates". New Geography (Grand Forks, ND). January 22, 2011. Retrieved September 16, 2011.

  93. "China overtakes US in car sales". The Guardian (London). January 8, 2010. Retrieved July 10, 2011.

  94. "Motor vehicles statistics – countries compared worldwide". NationMaster. Retrieved July 10, 2011.

  95. "Household, Individual, and Vehicle Characteristics". 2001 National Household Travel Survey. U.S. Dept. of Transportation, Bureau of Transportation Statistics. Retrieved August 15, 2007.

  96. "Daily Passenger Travel". 2001 National Household Travel Survey. U.S. Dept. of Transportation, Bureau of Transportation Statistics. Retrieved August 15, 2007.

  97. Renne, John L.; Wells, Jan S. (2003). "Emerging European-Style Planning in the United States: Transit-Oriented Development". Rutgers University. p. 2. Retrieved June 11, 2007.

  98. "NatGeo surveys countries' transit use: guess who comes in last". Switchboard.nrdc.org. May 18, 2009. Retrieved July 10, 2011.

  99. IEA Key World Energy Statistics Statistics 2013 , 2012 , 2011 , 2010 , 2009 , 2006 IEA October, crude oil p.11, coal p. 13 gas p. 15

  100. "BP Statistical Review of World Energy" (XLS). British Petroleum. June 2007. Retrieved February 22, 2010.

  101. Ames, Paul (May 30, 2013). "Could fracking make the Persian Gulf irrelevant?". Salon. Retrieved May 30, 2012. "Since November, the United States has replaced Saudi Arabia as the world's biggest producer of crude oil. It had already overtaken Russia as the leading producer of natural gas."

  102. , p. 11

  103. For more detail on U.S. literacy, see A First Look at the Literacy of America's Adults in the 21st century, U.S. Department of Education (2003).

  104. Student Loan Debt Exceeds One Trillion Dollars. NPR, April 4, 2012. Retrieved September 8, 2013.

  105. Silicon Valley: 110 Year Renaissance, McLaughlin, Weimers, Winslow 2008.

  106. Adams, J.Q., and Pearlie Strother-Adams (2001). Dealing with Diversity. Chicago: Kendall/Hunt. ISBN 0-7872-8145-X.

  107. Thompson, William; Hickey, Joseph (2005). Society in Focus. Boston: Pearson. ISBN 0-205-41365-X.

  108. Fiorina, Morris P.; Peterson, Paul E. (2000). The New American Democracy. London: Longman, p. 97. ISBN 0-321-07058-5.

  109. Holloway, Joseph E. (2005). Africanisms in American Culture, 2d ed. Bloomington: Indiana University Press, pp. 18–38. ISBN 0-253-34479-4. Johnson, Fern L. (1999). Speaking Culturally: Language Diversity in the United States. Thousand Oaks, Calif., London, and New Delhi: Sage, p. 116. ISBN 0-8039-5912-5.

  110. : also see American's Creed, written by William Tyler Page and adopted by Congress in 1918.

  111. Gould, Elise (October 10, 2012). "U.S. lags behind peer countries in mobility." Economic Policy Institute. Retrieved July 15, 2013.

  112. CAP: *Understanding Mobility in America *. April 26, 2006

  113. Smith, 2004, pp. 131–132

  114. Levenstein, 2003, pp. 154–55

  115. Boslaugh, Sarah (2010). "Obesity Epidemic", in Culture Wars: An Encyclopedia of Issues, Viewpoints, and Voices, ed. Roger Chapman. Armonk, N.Y.: M. E. Sharpe, pp. 413–14. .

  116. Village Voice: 100 Best Films of the 20th century (2001) . Filmsite.

  117. Bloom, Harold. 1999. Emily Dickinson. Broomall, PA: Chelsea House. p. 9. .

  118. Quinn, Edward (2006). A Dictionary of Literary and Thematic Terms. Infobase, p. 361. . Seed, David (2009). A Companion to Twentieth-Century United States Fiction. Chichester, West Sussex: John Wiley and Sons, p. 76. . Meyers, Jeffrey (1999). Hemingway: A Biography. New York: Da Capo, p. 139. .

  119. Brown, Milton W. (1988 1963). The Story of the Armory Show. New York: Abbeville. .

  120. MacCambridge, Michael (2004). America's Game: The Epic Story of How Pro Football Captured a Nation. New York: Random House. .

  121. Global sports market to hit $141 billion in 2012 . Reuters. Retrieved on July 24, 2013.

  122. Liss, Howard. Lacrosse (Funk & Wagnalls, 1970) pg 13.

  123. Biddle, Julian (2001). What Was Hot!: Five Decades of Pop Culture in America. New York: Citadel, p. ix. .

หมวดหมู่