เอสเอช-60/เอ็มเอช-60 ซีฮอว์ก () เป็นเฮลิคอปเตอร์หลากภารกิจที่มีเครื่องยนต์เทอร์โบชาฟท์สองเครื่องยนต์ โดยมีพื้นฐานโครงสร้างมาจากยูเอช-60 แบล็กฮอว์กและเฮลิคอปเตอร์ตระกูลซิคอร์สกี้ เอส-70 การดัดแปลงที่เด่นชัดที่สุดคือที่ส่วนหางเพื่อลดรอยขูดขีดที่อาจเกิดขึ้นเมื่อลงจอดบนดาดฟ้าเรือ
กองทัพเรือสหรัฐใช้โครงสร้างของเอช-60 พัฒนารุ่นที่มีชื่อว่าเอสเอช-60บี เอสเอช-60เอฟ เอชเอช-60เอช เอ็มเอช-60อาร์ และเอ็มเอช-60เอส มันสามารถใช้ได้บนเรือฟริเกต เรือพิฆาต เรือลาดตระเวน เรือสนับสนุนการรบ เรือโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบก หรือเรือบรรทุกเครื่องบิน ซีฮอว์กสามารถใช้ทำหน้าที่ในสงครามปราบเรือดำน้ำ สงครามใต้น้ำ สงครามทำลายกำลังพื้นผิว สงครามพิเศษทางน้ำ ภารกิจค้าหาและช่วยเหลือ การกิจค้นหาและช่วยเหลือการรบ การส่งกำลังเพิ่มเติมทางดิ่ง และการเคลื่อนย้ายคนเจ็บ
ในทศวรรษที่ 2513 กองทัพเรือสหรัฐได้เริ่มมองหาเฮลิคอปเตอร์แบบใหม่เพื่อเข้ามาแทนที่เอสเอช-2 ซีสไปรท์1 ซีสไปรท์นั้นถูกใช้เพื่อเป็นฐานให้กับระบบอเนกประสงค์ทางอากาศขนาดเบา เป็นระบบอิเลคทรอนิกอากาศสำหรับสงครามทางทะเลและมีความสามารถรองคือการค้าหนและช่วยเหลือ ด้วยความก้าวหน้าในเซ็นเซอร์และระบบอิเลคทรอนิกอากาศที่นำระบบดังกล่าวไปสู่รุ่นที่สอง แต่เอสเอช-2 ก็ไม่ใหญ่พอที่จะติดตั้งอุปกรณ์เหล่านั้นได้หมด ในกลางทศวรรษที่ 2513 กองทัพได้ประเมินซิคอร์สกี้ วายยูเอช-60 และโบอิง-เวอร์ทอล วายยูเอช-31 ในการแข่งขันหาอากาศยานขนส่งแบบใหม่2 กองทัพเรือมีความต้องการเดียวกับกองทัพบกเพื่อลดราคา3 ซิคอร์สกี้และโบอิง-เวอร์ทอลได้ยื่นข้อเสนอให้กับกองทัพเรือโดยเป็นรุ่นที่ดัดแปลงมาจากของกองทัพบกในเดือนเมษายน พ.ศ. 2520 กองทัพเรือยังได้มองหาเฮลิคอปเตอร์ที่ผลิตโดยเบลล์ คาแมน เวสท์แลนด์ และเอ็มบีบี แต่ก็ล้วนมีขนาดเล็กเกินไป พอต้นปีพ.ศ. 2521 กองทัพเรือได้เลือกการออกแบบเอส-70บีของซิคอร์สกี้4 ซึ่งใช้ชื่อว่า"เอสเอช-60บี ซีฮอว์ก"
thumb|ซีฮอว์กที่บินรอรับผู้บาดเจ็บที่ถูกหามมาบนเปล ทั้งหมดเป็นเพียงการซ้อมเท่านั้น เอสเอช-60บีนั้นมีความคล้ายคลึงกับยูเอช-60เอถึง 83%5 การเปลี่ยนแปลงหลักการป้องกันการกัดกร่อน เครื่องยนต์ที700 ที่ทรงพลังมากขึ้น เลื่อนตำแหน่งของล้อหลังไปด้านหน้า 13 ฟุต แทนที่ประตูด้านข้างด้วยโครงสร้างลำตัว และเพื่อจุดติดอาวุธเข้าไปสองตำแหน่ง การเปลี่ยนแปลงส่วนอื่นๆ ก็มีทั้งเซลล์เชื้อเพลิงขนาดใหญ่ขึ้น ระบบับเก็บใบพัดด้วยไฟฟ้า ครีบหางที่พับเก็บได้ และท่อปล่อยกระบอกโซนาร์ 25 ท่อที่ด้านข้าง การเปลี่ยนตำแหน่งของล้อด้านหลังทำให้ลดรอยขูดขีดที่เกิดขึ้นเมื่อจอดลงบนดาดฟ้าเรือ6
มีวายเอสเอช-60บี ซีฮอว์ก แลมป์ส 3 ที่เป็นต้นแบบ 5 ลำถูกสั่งซื้อ วายเอสเอช-60บีทำการบินครั้งแรกในวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2522 เอสเอช-60บีที่เป็นรุ่นผลิตนั้นทำการบินครั้งแรกในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2526 เอสเอช-60บีได้เข้าประจำการในปีพ.ศ. 2527 โดยใช้งานครั้งแรกในปีพ.ศ. 25287
เอสเอช-60บี แลมป์ส 3 จะถูกใช้บนเรือฟริเกต เรือพิฆาต และเรือลาดตระเวนเป็นหลัก ภารกิจหลักของมันคือสงครามทำลายกำลังพื้นผิวและการปราบเรือดำน้ำ
เอสเอช-60บีมีระบบเซ็นเซอร์ที่ซับซ้อนรวมทั้งเครื่องตรวจจับความผิดปกติของแม่เหล็กหรือแมด (Magnetic Anomaly Detector, MAD) และกระบอกโซนาร์ เซ็นเซอร์อื่นๆ รวมทั้งเรดาร์ค้นหาเอพีเอส-124 ระบบอีเอสเอ็ม เอแอลคิว-142 และป้อมอินฟราเรดส่วนหน้าตรงปลายจมูก มันบรรทุกตอร์ปิโดมาร์ก 46 มาร์ก 50 หรือมาร์ก 54 ขีปนาวุธเอจีเอ็ม-114 เฮลไฟร์ และปืนกล เอ็ม60/เอ็ม240 ขนาด 7.62 หรือปืนกลจีเอยู-16 ขนาด 12.7 ม.ม.
เอสเอช-60บีต้องการนักบินเพียงหนึ่งนายและผู้ควบคุมระบบการสงครามหรือเซ็นเซอร์อีกหนึ่งนาย
เอสเอช-60เจเป็นรุ่นหนึ่งของเอสเอช-60บีที่ผลิตมาเพื่อกองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศของญี่ปุ่น เอสเอช-60เคเป็นรุ่นที่ดัดแปลงมาจากเอสเอช-60เจ เอสเอช-60เจและเคถูกสร้างขึ้นภายใต้ใบอนุญาตโดยอุตสาหกรรมิตซูบิชิในญี่ปุ่น89
หลังจากที่เอสเอช-60บีได้เข้าประจำการ กองทัพเรือก็เริ่มทำการพัฒนาเอสเอช-60เอฟขึ้นมาเพื่อแทนที่เอสเอช-3 ซีคิง10 การพัฒนาเริ่มขึ้นเมื่อได้ทำสัญญากับซิคอร์สกี้เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2528 เอสเอช060บีแบบแรกๆ นั้นถูกดัดแปลงให้กลายเป็นรุ่นเอฟ บริษัทได้ผลิตรุ่นเอฟออกมา 7 ลำในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529 และทำการบนทดสอบครั้งแรกในวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 253011
เอสเอช-60เอฟทำหน้าที่ในหมวดเรือบรรทุกเครื่องบิน มันมีภารกิจหลักในสงครามปราบเรือดำน้ำและเป็นเฮลิคอปเตอร์ในการค้นหาและช่วยเหลือ มันจะล่าเรือดำน้ำด้วยการหย่อนโซนาร์เอเอ็น/เอคิวเอส-13 และมีโซนาร์กระบอก 14 กระบอก เอสเอช-60เอฟมีตอร์ปิโด มาร์ก 46 และปืนกลที่ประตู อาจเป็นเอ็ม60ดี เอ็ม240 หรือจีเอยู-16 มันมีนักบินหนึ่งนาย นักบินผู้ช่วยหนึ่งนาย ผู้ควบคุมเซ็นเซอร์ยุทธวิธีหนึ่งนาย และผู้ควบคุมเซ็นเซอร์เสียงอีกหนึ่งนาย
เอสเอช-60เอฟเข้าประจำการครั้ง���รกในวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 253212 ฝูงบินเอสเอช-60เอฟจะเปลี่ยนมาใช้เอสเอช-60เอสในปีพ.ศ. 255213
thumb|right|เอชเอช-60เอชพร้อมนักดำน้ำค้นหาและช่วยเหลือ
เอชเอช-60เอชทำการพัฒนาขึ้นในเดือนกันยายน พ.ศ. 2529 โดยในสัญญาจะผลิตออกมา 5 ลำ มันทำการบินครั้งแรกในวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2531 เอชเอช-60เอชถูกสร้างขึ้นมาพร้อมกับเอชเอช-60 เจย์ฮอว์กของยามชายฝั่งสหรัฐ การส่งมอบเริ่มขึ้นในปีพ.ศ. 2532 พวกมันเริ่มปฏิบัติการได้ในเดือนเมษายน พ.ศ. 253314
มันมีพื้นฐานมาจากเอสเอช-60เอฟ ทำให้มันมีหน้าที่หลักในการค้นหาและช่วยเหลือการรบ การรบพิเศษทางทะเล และสงครามทำลายกำลังพื้นผิว มันมีเซ็นเซอร์แบบรุกและป้องกันมากมาย จึงทำให้มันเป็นหนึ่งในเฮลิคอปเตอร์ที่อยู่รอดได้ดีที่สุดในโลก เซ็นเซอร์นั้นประกอบด้วยป้อมออนฟราเรดหน้าที่มีเลเซอร์ระบบุตำแหน่งและอุปกรณ์ช่วยชีวิต โดยมีเครื่องรบกวนอินฟราเรดเอเแอลคิว-144 เครื่องตรวจจับเลเซอร์เอวีอาร์-2 เครื่องตรวจจับเรดาร์เอพีอาร์-39(วี)2 เครื่องตรวจจับการปล่อยขีปนาวุธเอเออาร์-7 และเครื่องปล่อยพลุล่อเป้าเอแอลอี-47 นอกจากนี้แล้วมันยังได้รับการพัฒนาด้านโครงสร้างของตัวสะท้อนไอเสียเครื่องยนต์ที่จะลดความร้อนซึ่งขีปนาวุธติดตามความร้อนมักมองหา เอชเอช-60เอชสามารถติดตั้งขีปนาวุธเฮลไฟร์ได้ถึง 4 ลูกบนปีกโดยใช้เครื่องยิงแบบเอ็ม299 และยังมีหน้าต่างที่หลากหลายเพื่อติดตั้งปืนกลอย่างเอ็ม60ดี เอ็ม240 จีเอยู-16 และจีเอยู-17/เอ ลูกเรือจะประกอบด้วยนักบินหนึ่งนาย นักบินผู้ช่วยหนึ่งนาย และพลปืนประจำประตูสองนาย
thumb|right|เอ็มเอช-60เอส ไนท์ฮอว์ก (MH-60S Knighthawk) ที่กำลังส่งกำลังเพิ่มเติมในแนวดิ่ง
กองทัพเรือได้ติดสินใจว่าจะแทนที่ซีเอช-46 ซีไนท์ของพวกเขาในปีพ.ศ. 2540 หลังจากมีการสาธิตยูเอช-60 ที่ถูกดัดแปลง กองทัพเรือก็ทำสัญญาให้มีการผลิตซีเอช-60 ในปีพ.ศ. 2541 มันทำการบินครั้งแรกในวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2543 และเริ่มทำการบินทดสอบในปีต่อมา ซีเอช-60 ถูกตั้งชื่อใหม่ว่าเอ็มเอช-60เอสในเดือนมกราคม พ.ศ. 254415
เอ็มเอช-60เอสนั้นมีพื้นฐานมาจากยูเอช-60แอลและมีจุดเด่นมากมายจากเอสเอช-6016 มันถูกใช้งานบนเรือโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบกและเรือเร็วสนับสนุนการรบ มันมีสองภารกิจ คือ ขนส่งทหารและการส่งกำลังเพิ่มเติมในแนวดิ่ง แต่ก็สามารถทำหน้าที่ค้นหาและช่วยเหลือได้เช่นกัน เอ็มเอช-60เอสไม่มีเซ็นเซอร์ด้านการรุกแต่มีเครื่องรบกวนเรดาร์เอแอลคิว-144 ในอนาคตมันจะมีระบบตรวจหาทุ่นระเบิดเอคิวเอส-20เอและระบบตรวจหาทุ่นระเบิดเลเซอร์ทางอากาศสำหรับการระบุวัตถุที่ถูกฝังอยู่ใต้น้ำ รุ่นเอสนั้นเป็นเฮลิคอปเตอร์แบบแรกของกองทัพเรือสหรัฐที่ใช้ห้องนักบินแก้วซึ่งข้อมูลการบินจะถูกส่งให้กับนักบินผ่านทางหน้าจอดิจิตอลแทนที่จะใช้เกจ์ธรรมดา การป้องกันหลักของมันคือปืนกลเอ็ม60ดี เอ็ม240 หรือจีเอยู-17/เอ ปีกของมันมีพื้นฐานมาจากยูเอช-60แอลของกองทัพบกเพื่อติดตั้งขีปนาวุธเฮลไฟร์ ไฮดรา 70 หรืออาวุธที่ใหญ่กว่านั้น
เอ็มเอช-60เอสรู้จักกันอย่างไม่เป็นทางการว่า"ไนท์ฮอว์ก" (Knighthawk) เพื่อสะท้อนการสืบทอดตำแหน่งจาก"ซีไนท์" (Sea Knight) แม้ว่าชื่อดังกล่าวยังไม่ได้รับการอนุมัติเพื่อมีชื่อ"ซีฮอว์ก"แล้ว1718 ลูกเรือของซีไนท์ประกอบด้วยนักบินหนึ่งนาย นักบินผู้ช่วยหนึ่งนาย และทหารอีกสองนายที่ขึ้นอยู่กับภารกิจ ฝูงบินที่ใช้เอ็มเอช-60เอสถูกตั้งชื่อใหม่เป็นเฮลิคอปเตอร์โจมตีทางทะเล (Helicopter Sea Combat, HSC)19
มันไม่เหมือนกับเอช-60 ทั้งหมดของกองทัพเรือ เอ็มเอช-60เอสนั้นไม่ได้มีพื้นฐานมาจากเอส-70บี/เอสเอช-60บีที่มันมีล้อคู่ด้านท้ายที่เยื้องไปทางด้านหน้าและประตูเลื่อนเพียงด้านเดียว แทนที่จะเป็นเช่นนั้นรุ่นเอสเป็นแบบผสม มันมีจุดเด่นที่โครงสร้างหลักของเอส-70เอ/ยูเอช-60 โดยมีประตูเลื่อนทั้งสองด้านและล้อเพียงอันเดียวที่เยื้องไปด้านหลัง และเครื่องยนต์กับใบพัดนั้นมาจากเอส-70บี/เอสเอช-6020
ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2552 สาธารณรัฐเกาหลีได้ร้องของเอ็มเอช-60เอส 8 ลำ เครื่องยนต์จีอี ที700-401ซี 16 เครื่อง และระบบเซ็นเซอร์สัมพันธ์ ซึ่งจะขายในการขายทางกองทัพข้ามประเทศ 21
thumb|right|เอ็มเอช-60อาร์กำลังใช้โซนาร์
เดิมทีนั้นเอ็มเอช-60อาร์คือ"การพัฒนาแลมป์ส มาร์ก 3 บล็อก 2" (LAMPS Mark III Block II Upgrade) เมื่อมันเริ่มพัฒนาในปีพ.ศ. 2536 เอสเอช-60บีสองลำถูกดัดแปลงโดยซิคอร์สกี้เพื่อโครงการดังกล่าว เอสเอช-60 ลำแรกที่ถูกดัดแปลงทำการบินครั้งแรกในวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2542 การดัดแปลงทำให้มันได้ชื่อว่าวายเอสเอช-60เอส มันถูกส่งมอบเพื่อทำการทดสอบในปีพ.ศ. 2544 แบบสำหรับการผลิตได้รับชื่อใหม่ว่าเอ็มเอช-60เอส22
เอ็มเอช-60อาร์ถูกออกแบบมาโดยผสมลักษณะเด่นของเอสเอช-60บีและเอสเอช-60เอฟ23 เซ็นเซอร์ของมันมีทั้งชุดเอเอสอี อินฟราเรดหน้า การเชื่อมโยงข้อมูลทางอากาศที่ก้าวหน้า และโซนาร์ทางอากาศแบบใหม่ มันไม่มีเครื่องตรวจจับความผิดปกติของแม่เหล็ก นักบินจะอยู่ในห้องนักบินแก้วแบบเดียวกับเอ็มเอช-60เอส ซึ่งใช้หน้าจอดิจิตอลแทนที่จะเป็นเกจ์วัด ความสามารถในการรุกของมันเพิ่มขึ้นโดยมีตอร์ปิโด มาร์ก 54 และขีปนาวุธเฮลไฟร์
รุ่นอาร์ทำการส่งมอบในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2548 และเริ่มทำการฝึกนักบิน ในปีพ.ศ. 2550 เอ็มเอช-60 ก็เข้าสู่การทดสอบสุดท้ายเพื่อเข้าทำงานในกองบิน เมื่อถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2551 มันถูกส่งไปประจำการบนเรือยูเอสเอส จอห์น ซี. สเตนนิส ตามที่ล็อกฮีด มาร์ตินอ้าง "ภารกิจรองของมันคือการค้นหาและช่วยเหลือ การเพิ่มเติมกำลังในแนวดิ่ง การยิงสนับสนุนพื้วผิวทะเล การสนับสนุนทางจำนวน ยานลำเลียงพล การเคลื่อนย้ายคนเจ็บ และการสื่อสารและส่งข้อมูล"24
กองทัพเรือออสเตรเลีย ได้รับเอส-70บี-2 ซีฮอว์ก 16 ลำ28และมีทั้งหมด 16 ลำอยู่ในประจำการเมื่อปีพ.ศ. 255129
กองทัพเรือบราซิล จะได้รับซีฮอว์ก 4 ลำในปีพ.ศ. 2552
ได้รับเอส-70บี-6 อีเจียนฮอว์ก 11 ลำ30และมีเอส-70บี 11 ลำในประจำการเมื่อปีพ.ศ. 255131
ดูที่มิตซูบิชิ เอสเอช-60
กองทัพเรือสเปน ได้รับเอส-70บี-1 ซีฮอว์ก 12 ลำ32และมี 12 ลำในประจำการเมื่อปีพ.ศ. 255133
กองทัพเรือสาธารณรัฐจีน ได้รับเอส-70ซี 21 ลำ (เอส-70ซี(เอ็ม)-1 จำนวน 10 ลำและเอส-70ซี(เอ็ม)-2 จำนวน 11 ลำ)34และมีเอส-70ซี 19 ลำในประจำการเมื่อปีพ.ศ. 255135 ประจำการอยู่ในฝูงบินเฮลิคอปเตอร์ที่ 70236
กองทัพเรือไทย ได้รับเอส-70บี-7 ซีฮอว์ก 6 ลำ37และสั่งซื้อเอ็มเอช-60เอส ไนท์ฮอว์ค 6 ลำ38 โดยมีเอส-70บีทั้งหมด 6 ลำในประจำการเมื่อปีพ.ศ. 254139
กองทัพเรือตุรกี ได้รับเอส-70บี-28 ซีฮอว์ก 8 ลำโดยมีอีก 17 ลำในรายการสั่งซื้อ40 โดยมีเอส-70บี 7 ลำในประจำการเมื่อปีพ.ศ. 255141
การพัฒนาที่เกี่ยวข้อง
อากาศยานที่เทียบเท่า
แหล่งที่มาดั้งเดิม: ${vars.title} แบ่งปันกับ ใบอนุญาต Creative Commons Attribution-ShareAlike 3.0
Leoni 2007, pp. 203–4. ↩
Sikorsky S-70B Seahawk, Vectorsite.net, 1 July 2006. ↩
Eden, Paul. "Sikorsky H-60 Black Hawk/Seahawk", Encyclopedia of Modern Military Aircraft, p. 431. Amber Books, 2004. ISBN 1904687849. ↩
Leoni 2007, pp. 206–9. ↩
Mitsubishi (Sikorsky) SH-60J (Japan). Jane's, 17 April 2007. ↩
Mitsubishi SH-60K Upgrade, Jane's, 11 June 2008. ↩
Leoni 2007, p. 211. ↩
Donald 2004, pp. 158. ↩
Helicopter Sea Combat Wing, Pacific. GlobalSecurity.org ↩
Donald 2004, p. 158. ↩
Donald 2004, pp. 159-160. ↩
Donald 2004, pp. 160-161. ↩
Sikorsky SH-60 Seahawk helicopter, Fact File . Sikorsky. checked 2008-10-05 ↩
"Korea – MH-60S Multi-Mission Helicopters" . US Defense Security Cooperation Agency, 22 July 2009. ↩
Donald 2004, pp. 161-162. ↩
Donald 2004, p. 161. ↩
"MH-60R Helicopter Departs Lockheed Martin To Complete First Operational Navy Squadron" , Lockheed Martin, July 30, 2008. ↩
DoD 4120-15L, Model Designation of Military Aerospace Vehicles. DoD, 2004. ↩
Leoni 2007, pp. 250-256. ↩
"Directory: World Air Forces". Flight International, 11-17 November 2008. ↩
Leoni 2007, pp. 274-277. ↩
Leoni 2007, pp. 303-304. ↩
Leoni 2007, pp. 292–98. ↩
Taiwan Air Power, ROCN S-70C(M)-1/2 page. Taiwanairpower.org, update April 12, 2008. Retrieved Sept. 15, 2009. ↩
Leoni 2007, pp. 304-305. ↩
Up to $246M for 6 Royal Thai Navy MH-60S Helicopters Defense Industry Daily ↩
Leoni 2007, pp. 306–13. ↩
S-70B Seahawk Technical Information, 2001. ↩
S-70B Seahawk Technical Information, 2008 . Sikorsky.com. ↩
Ne Demek sitesindeki bilgiler kullanıcılar vasıtasıyla veya otomatik oluşturulmuştur. Buradaki bilgilerin doğru olduğu garanti edilmez. Düzeltilmesi gereken bilgi olduğunu düşünüyorsanız bizimle iletişime geçiniz. Her türlü görüş, destek ve önerileriniz için iletisim@nedemek.page