การเกิดฟ้าผ่า คืออะไร

ฟ้าผ่า (Lightning) คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อมีการถ่ายโอนพลังงานที่สูงมากในรูปของการไหลของไฟฟ้าบนฟ้าจากพื้นดินไปยังพื้นดินหรือกฏแห่งฟ้า (Ground) โดยฟ้าผ่าสามารถเกิดขึ้นทั้งในบริเวณเมืองในแหล่งที่มีการเงินภายในไฟฟ้าผ่าต่ำในบริเวณที่เป็นระเบียงเก็บน้ำหรือบนแร่เงินหรือเหมืองแร่ทำงาน การเกิดฟ้าผ่ามักจะเกิดในฤดูฝนเพราะโลหะที่มีน้ำอยู่เป็นตัวกระตุ้นในกระแสไฟฟ้า ซึ่งอาจสร้างเชิงกรานให้เกิดการประกายไฟฟ้าบริเวณนั้น

ฟ้าผ่าเกิดจากการคายพลังงานที่สูงมากของฟ้าตกตะลุมบนพื้นดิน โดยในขั้นตอนแรกจะเกิดการกันกระแสโดยมีการกระตุ้นกันระหว่างโลหะที่มีเคลื่อนย้ายภายในฑูตะลุมกับอากาศที่ไม่ซึมอุปสรรคโดยมีความเร็วของกระแสไฟฟ้าในระยะแรกประมาณ 30,000 เมตรต่อวินาที หลังจากนั้นจะมีการกระตุ้นฟ้าผ่าไปมาหลายครั้ง และจะพาฟ้าไปตกตะลุมที่พื้นดินซึ่งอาจมีอุปสรรคต่างๆ เช่น ต้นไม้ ตึกสูง หรือวัตถุอื่นที่สูงขึ้นและติดไฟฟ้า

การเกิดฟ้าผ่ามักจะมองเห็นเป็นแสงสะท้อนที่มีความสว่างสูงและสีเขียว แต่ก็อาจมีสีอื่นๆ เช่น สีม่วง สีแดง หรือสีฟ้าเขียวผสานกันไปบ้าง โดยมักจะเห็นเป็นเส้นที่แสดงการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วที่บริเวณฟ้าในช่วงเวลาสั้นๆ ฟ้าผ่าส่วนใหญ่จะมีความยาวในช่วง 2-3 กิโลเมตร และมีความสูงประมาณ 1-2 ฟุต ครั้นไม่ได้มีบางกรณีที่ยาวถึง 90 กิโลเมตรและสูงถึง 150,000 ฟุต

ฟ้าผ่ามีพลังงานที่มหาศาลอยู่ โดยมักจะมีปริมาณไฟฟ้าที่ถูกปล่อยในช่วงเวลาสั้นๆ ประมาณ 10,000 โวลต์ และกระแสไฟฟ้าที่ถูกปล่อยติดต่อกันเป็นช่วงนาโนวินาที การกระตุ้นหรือถ่ายพลังงานของฟ้าผ่าสามารถสร้างความร้อนได้มากถึง 30,000 องศาเซลเซียส ซึ่งสามารถเผาผลาญวัตถุหรือสร้างพลังงานที่มีประโยชน์ได้

ฟ้าผ่ามีผลกระทบต่อมนุษย์ได้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะเมื่อมีการกระทำที่เสี่ยงต่อการถูกฟ้าผ่า เช่น การยืนที่บนพื้นราบ หรือการทำงานใกล้กับขอบอาคารหรือโครงสร้างที่สูง การถูกฟ้าผ่าอาจทำให้เกิดอาการชักการ, ไหล่พลูดอก, และบาดเจ็บในระดับรุนแรงได้ นอกจากนี้ฟ้าผ่ายังสามารถทำให้เกิดไฟวนิลเชิงดวงตาและเสียงร้องขึ้นได้ ซึ่งเป็นอาการที่เกิดจากการเต็มไปด้วยกระแสไฟฟ้าในช่วงแรงค์ปกติ