สารพฤกษเคมี คืออะไร

สารพฤกษเคมี หรือ ไฟโตนิวเทรียนท์ () หมายถึง สารเคมีที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพที่พบเฉพาะในพืช สารกลุ่มนี้อาจเป็นสารที่ทำให้พืชผักชนิดนั้นๆ มีสี กลิ่นหรือรสชาติที่เป็นลักษณะเฉพาะตัว สารพฤกษเคมีเหล่านี้หลายชนิดมีฤทธิ์ต่อต้านหรือป้องกันโรคบางชนิดและโรคสำคัญที่มักจะกล่าวกันว่าสารกลุ่มนี้ช่วยป้องกันได้คือ “ โรคมะเร็ง ” กลไกการทำงานของสารพฤกษเคมีเมื่อเข้าสู่ร่างกายอาจเป็นไปโดยการช่วยให้เอ็นไซม์บางกลุ่มทำงานได้ดีขึ้น เอ็นไซม์บางชนิดทำหน้าที่ทำลายสารก่อมะเร็งที่เข้าสู่ร่างกาย มีผลทำให้สารก่อมะเร็งหมดฤทธิ์ ซึ่งปัจจุบันพบสารพฤกษเคมีแล้วมากกว่า 15,000 ชนิด

ผักและผลไม้รวมเข้มข้น คือ สารสกัดเข้มข้นที่ได้จากผักและผลไม้ชนิดต่างๆ ซึ่งให้สารอาหารและสารพฤกษเคมีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย นอกจากนั้น ผักและผลไม้ยังเป็นแหล่งที่ดีที่สุดสำหรับสารต้านอนุมูลอิสระ คนไทยส่วนมากรับประทานผักและผลไม้ได้ไม่เพียงพอในแต่ละวัน จึงอาจจะมีสารต้านอนุมูลอิสระในระดับต่ำ การบริโภคผักและผลไม้ในปริมาณที่เหมาะสมต่อวัน จะช่วยให้ประสิทธิภาพของสารต้านอนุมูลอิสระเพียงพอในการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ได้

นักวิทยาศาสตร์พบว่าสารพฤกษเคมีสร้างประโยชน์ด้วยกลไกการออกฤทธิ์ในรูปแบบต่างๆ ดังนี้

  • ต้านออกซิเดชั่น ทำลายฤทธิ์ของอนุมูลอิสระ
  • ลดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับดีเอ็นเอ เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้สารพฤกษเคมีลดการเกิดโรคมะเร็งได้
  • เพิ่มภูมิต้านทานโรค
  • ควบคุมการออกฤทธิ์ของฮอร์โมน

งานวิจัยจำนวนมากแนะนำว่าการผสมผสานของสารต้านอนุมูลอิสระที่พบในผักและผลไม้ชนิดต่างๆ หลากชนิดจะให้คุณภาพการต้านอนุมูลอิสระที่ดีกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับการได้รับสารต้านอนุมูลอิสระจากแหล่งอาหารเพียงแหล่งเดียว

งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์เกี่ยวกับสารพฤกษเคมีจากผักและผลไม้รวมเข้มข้นที่น่าสนใจ

ประเภทของสารพฤกษเคมี

  1. แคโรทีนอยด์ (Carotenoids)
  2. กลูโคไซโนเลท (Glucosinolate) / ไอโซโธโอไซยาเนท (Isothiocynate)
  3. โพลีฟินอล (Polyphenols) : ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) , แอนโธไซยานินส์ (Anthocyanins) , ไบโอฟลาโวนอยด์ (Bioflavonoids) , โพรแอนโธไซยานิน (Proanthocyanidins)
  4. ไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogens)
  5. เฟนโนลิก (Phenolics) / สารประกอบซีสติก (Cystic Compound)
  6. ซาโปนินส์ (Saponins)
  7. ไฟโตสเตอรอล (Phytosterol)
  8. ซัลไฟด์ (Sulfide) และไธออล (Thiols)

เควอซิทิน (Quercetin)

เควอซิทินกับบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคหลอดเลือดและหัวใจ เควอซิทินเป็นสารพฤกษเคมีที่อยู่ในกลุ่มฟลาโวนอยด์ เป็นสารที่ให้ฤทธิ์ในการต้านออกซิเดชั่นสูงที่สุด มีมากในหัวหอม หอมแดง และพืชตระกูลถั่ว ให้ฤทธิ์ในการป้องกันการอักเสบ ป้องกันแบคทีเรีย และไวรัส ช่วยป้องกันอาการแพ้ ป้องกันการแข็งตัวของเลือด ป้องกันการเกิดออกซิเดชั่นในหลอดเลือด และป้องกันหลอดเลือดเลี้ยงสมองอุดตันได้ การรับประทานผักและผลไม้ที่อุดมไปด้วยเควอซิทินในปริมาณสูงมีส่วนสัมพันธ์กับการทำงานของหัวใจที่ดี จากการศึกษาจำนวนมากพบว่า เควอซิทินถือว่าเป็นไฟโตนิวเทรียนท์ที่ปกป้องหลอดเลือด (vasoprotective) และช่วยในการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ ช่วยให้ระบบการไหลเวียนและการทำงานหัวใจดีขึ้น

  • การได้รับฟลาโวนอลและฟลาโวนในระดับที่สูง ( มากกว่า 30 มิลลิกรัมต่อวัน ) จะช่วยลดความเสี่ยงของ การเกิดโรคลมชักในระยะแรกในผู้ป่วยสูงอายุได้สองในสามส่วน เควอซิทิน คือ ฟลาโวนอยด์ที่สำคัญในอาหารที่ทำการศึกษาในครั้งนี้
  • เควอซิทินมีคุณสมบัติในการป้องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดและปกป้องหลอดเลือด และลดการเป็นพิษต่อเซลล์ไขมันแอลดีแอล (LDL) จากการทดลองในหลอดทดลอง ซึ่งถือว่าเป็นกลไกที่สำคัญที่จะช่วยในการทำงานของหลอดเลือด หัวใจและลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เควอซิทินกับบทบาทสำคัญในการต่อต้านเซลล์มะเร็ง
  • เควอซิทินทำให้เกิดการยับยั้งวงจรชีวิตเซลล์ หยุดการขยายตัวของเซลล์ และรวมถึงการทำให้เกิดอะพ็อพโทซิส (apoptosis) หรือการตายของเซลล์ในการเจริญเติบโตของเซลล์เต้านมที่ผิดปกติได้
  • เควอซิทินได้รับการพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นตัวนำการตาย ของเซลล์ในเซลล์เนื้องอกลำไส้ รวมทั้งยังช่วยยับยั้งฟอสโฟริลเลชั่น (phosphorylation) ของกลุ่มเซลล์ที่ได้รับสารกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้องอก และลดทางการเจริญเติบโตในเซลล์เนื้องอกชนิดนี้

กรดเอลลาจิก (Ellagic Acid)

กรดเอลลาจิกอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการถูกทำลายดีเอ็นเอของเซลล์บางชนิด

  • กรดเอลลาจิกช่วยลดการทำลายดีเอ็นเอที่จะทำให้ เกิดโรคเรื้อรังทำให้เกิดภาวะแก่ขึ้น (Ageing) และเป็นโรคมะเร็ง
  • กรดเอลลาจิกจะยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์บางชนิด เช่น เอ็น - อะซิติลทรานเฟอเรส ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยน แปลงโครงสร้างดีเอ็นเอในเนื้องอกในกระเพาะ ปัสสาวะของมนุษย์ กรดเอลลาจิกในปริมาณที่มากขึ้นจะยับยั้ง การทำงานของเอ็นไซม์ในขอบเขตที่มากขึ้นได้
  • เมื่อเซลล์กลายเป็นมะเร็ง กรดเอลลาจิกอาจจะสามารถหยุดการขยายตัวของเซลล์ กรดเอลลาจิกช่วยยับยั้ง การแบ่งเซลล์ในเซลล์มะเร็งปากมดลูก และยังช่วย ป้องกันการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้

เฮสเพอริดิน (Hesperidin)

เฮสเพอริดินช่วยเสริมสร้างสุขภาพหัวใจและเส้นเลือดดำ

  • เฮสเพอริดินมีส่วนสำคัญในการพัฒนาสุขภาพของ เส้นเลือดดำ โดยเฉพาะการลดการซึมผ่านและความ อ่อนแอของเส้นเลือดดำ โดยเฉพาะโรคที่สัมพันธ์กับ การเพิ่มการซึมผ่านเส้นเลือด เช่น ริดสีดวงทวาร ลักปิดลักเปิด แผลเน่าเปื่อยพุพอง แผลถลอก
  • การขาดเฮสเพอริดินจะเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของ เส้นเลือดฝอย ความอ่อนเพลีย และตะคริวที่ขาในเวลา กลางคืน การเสริมเฮสเพอริดินจะช่วยลดอาการบวมน้ำ หรือการบวมเนื่องจากการสะสมของของเหลว โดยสาร เฮสเพอริดินจะทำงานดีที่สุดเมื่อมีวิตามินซีร่วมด้วย
  • เฮสเพอริดินที่รวมกับฟลาโวนอยด์จากผลไม้จำพวกส้ม เช่น ไดออสมิน (Diosmin) มีประสิทธิภาพในการลดความรุนแรงของเส้นเลือดดำขอด ริดสีดวงทวาร ได้โดยการช่วยลดความตึงและความยืดหยุ่นของเส้นเลือดดำ และช่วยลดการซึมผ่านของเส้นเลือดจึงสามารถลดอาการบวมน้ำได้

เฮสเพอริดินอาจจะลดระดับพลาสมาคอเลสเตอรอล

  • บุคคลที่ดื่มน้ำส้มถึง 3 แก้วต่อวัน จะเพิ่มระดับไขมัน ชนิดดี (HDL) ได้ถึง 21% และลดระดับคอเลสเตอ-รอลและไตรกลีเซอไรด์

สารลูทีน (Lutein)

ลูทีนเป็นแคโรทีนอยด์สีเหลืองซึ่งมีส่วนอย่างมากในการต่อต้านสารต้านอนุมูลอิสระ ลูทีนพบได้ทั่วไปในผักใบเขียวและมีส่วนสำคัญในการบำรุงสายตา โมเลกุลของลูทีนพบในปริมาณสูงในจุดของดวงตา โดยเฉพาะพื้นที่ของเรตินาที่เกี่ยวกับการรับภาพ ซึ่งจะช่วยในการดูดซับแสงสีน้ำเงินในแถบสีการมองเห็นและช่วยปกป้องการทำลายของคลื่นสั้นที่มีต่อเยื่อบุผิวเรตินาจากการศึกษา พบว่า ระดับลูทีน 2.0 – 6.9 มิลลิกรัมต่อวัน จะช่วยป้องกันความเสื่อมของจุดด่างในดวงตาได้

สารลูทีนจะช่วยสร้างสารต้านอนุมูลอิสระในการป้องกันเยื่อแก้วตา (retina)

  • การรับประทานแคโรทีนอยด์ในปริมาณที่สูงที่สุดจะมี อัตราเสี่ยงต่ำกว่า 43% สำหรับภาวะการเสื่อมของจอประสาทตาตามอายุอย่างเฉียบพลันของจอประสาทตา เมื่อเปรียบเทียบการรับประทานในปริมาณที่ต่ำที่สุด จากการศึกษากลุ่มตัวอย่างจำนวน 876 คนซึ่งมีอายุ ระหว่าง 55-80 ปี การได้รับลูทีนและซีซานทีน ในอัตราสูงจะช่วยลดความเสี่ยงของจอประสาทตาเสื่อมอย่างเฉียบพลันตามอายุได้
  • จากการศึกษาคนไข้จำนวน 421 คน แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ได้รับลูทีนและซีซานทีนในระดับสูงที่สุดจะมีส่วน สำคัญต่อการลดระดับอัตราเสี่ยงของความเสื่อมของ ตาตามอายุได้
  • จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า หญิงและชายที่ได้รับ ลูทีนในระดับสูงที่สุดจะเป็นต้อกระจกในอัตราที่ต่ำกว่า ผู้ที่ไม่รับประทานลูทีนจากผักและผลไม้เละสารลูทีนอาจช่วยป้องกันมะเร็งปอด มะเร็งสำไส้ และมะเร็งเต้านม พบว่าการรับประทานสารลูทีน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ในทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และการลดอัตราเสี่ยงที่สำคัญที่สุดคือการตรวจพบการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ระยะเริ่มแรก การรับประทานผักที่อุดมไปด้วยแคโรทีนอยด์ ซึ่งประกอบด้วยลูทีนในปริมาณสูงจะมีความสัมพันธ์กับอัตราเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งเต้านมที่ลดลง โดยเฉพาะสำหรับสตรีที่มีประวัติว่ามีบุคคลในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งเต้านม

ไลโคปีน (Lycopene)

ไลโคปีนช่วยลดอัตราเสี่ยงการเป็นมะเร็งหลายชนิด โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก

  • ผู้เข้ารับการทดสอบที่รับประทานมะเขือเทศในปริมาณสูงที่สุด 10 ครั้งต่อสัปดาห์ มีอัตราเสี่ยง ในการเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากต่ำกว่าเมื่อเปรียบ เทียบกับผู้ที่รับประทานน้อยกว่า 1.5 ครั้งต่อสัปดาห์
  • การรับประทานมะเขือเทศในอัตราสูงจะช่วยลดอัตราการเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากทุกประเภท ได้ถึง 35% และลดความรุนแรงของโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก 53%
  • สารสกัดจากมะเขือเทศที่ประกอบด้วยไลโคปีน 30 มิลลิกรัมต่อวัน จะช่วยลดการเจริญเติบโตของโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในคนไข้ภายหลังจากการรักษา โรคมาแล้ว 3 สัปดาห์
  • ไลโคปีนอาจจะมีส่วนสำคัญในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูก โดยจะลดการเกิดเนื้องอกและยับยั้งการพัฒนา วงจรชีวิตของเซลล์ในช่วงต้นของการเกิดเซลล์มะเร็ง (ระยะ G1) ไลโคปีนอาจช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ
  • บุคคลที่มีสารสกัดพลาสมาไลโคปีนที่สูงที่สุดจะมี เปอร์เซ็นต์ของการเกิดการหนาตัวของหลอดเลือด IMT (intima-mediated thickness) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ของโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดระยะเริ่มต้นได้ต่ำสุด ถึง 90% ดังนั้น การได้รับไลโคปีนในปริมาณที่สูงอาจช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเป็นโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด
  • การรับประทานไลโคปีนสามารถอัตราเสี่ยงของการ เป็นกล้ามเนื้อหัวใจอุดตันต่ำกว่า 60% สำหรับบุคคลที่ มีสารสกัดไลโคปีนสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่มีสารสกัดไลโคปีนต่ำสุดไลโคปีนอาจจะลดความรุนแรงของการเผาไหม้ของผิวหนังจากแสงอาทิตย์
  • บุคคลที่รับประทานมะเขือเทศบด 40 กรัมต่อวัน ได้รับสารไลโคปีน 16 กรัมต่อวัน จะมีอัตราของอาการ เผาไหม้ของผิวหนังจากแสงอาทิตย์ลดลง 40% หลัง จากรับประทานมะเขือเทศติดต่อกันนาน 10 สัปดาห์

อ้างอิง

  • รศ.ดร.วินัย ดะห์ลัน , เอกสารประกอบการบรรยาย "โภชนาการพื้นฐานเพื่อการมีสุขภาพสมบูรณ์สูงสุด" , พ.ศ. 2550

พฤกษเคมี สารสำคัญในพืช แบ่งเป็น7 กลุ่มใหญ่

1. คาร์โบไฮเดรต ย่อย 3 เช่น น้ำตาล อนุพันธ์ โพลีแซคคาไรด์

2.สารในกลุ่มไขมัน lipids wax

3.น้ำมันหอมระเหย 8ย่อย เช่น hydrocarbon volatile oils น้ำมันจากมินต์

4.เรซินและบาลซัม 4 ย่อย เช่น เรซิน โอเลโอซิน โอเลโอกัมเรซิน และ บาลซัม

5.โปรตีน กรดอะมิโน และเอนไซม์ ย่อย 3 โปรตีน กรดอะมิโน และเอนไซม์

6. แอลคาลอยด์ แบ่ง เป็น 4ประเภท

-แบ่งตามกลุ่มของพืช

-แบ่งตามคุณสมบัติทางเภสัชวิทยา

-แบ่งตามสารตั้งต้น 3 ย่อย protoalkaloids truealkaloids pseudoalkaloids

-แบ่งตามสูตรทางเคมี 2 แบบ

-- non-heterocyclic alkaloids 3 ย่อย เช่น ephedrine colchicine mescaline

-- heterocyclic alkaloids 13 ย่อย เช่น

1.pyrrole และ pyrrolidine 2.pyridine piperidine นิโคติน ยาสูบ piperine ในผล +เมล็ดพริกไท 3.pyrrolizidine 4.tropane สารcocaine ใบโคคา 5.quinoline ควินิน ยาไข้มาลาเรีย 6.isoquinoline มอร์ฟีนระงับปวด 7.aporphine ยางผลฝิ่น 8.nor-lupinane 9.indole หรือbenzopyrrole เมล็ดแสลงใจ ยาเบื่อหนู 10.imidazole หรือ glyoxaline 11.purine กระตุ้นประสามส่วนกลาง หายใจ จากใบเลี้ยงต้นอ่อนโคล่า เมล็ดสุกกาแฟ ใบชา 12.steroid 13.terpenoid

7.กลัยโคไซด์ สารกลุ่มใหญ่ในการรักษา ย่อย 11 กลุ่ม

1.cardiac (glycosides / G-) ฤทธิ์ ต่อกล้ามเนื้อหัวใจ2. anthraquinone G- พบมากในพืชตระกูลถั่ว ยาระบาย 3.saponin G- 4. cyanogenetic G- 5. isothiocyanate G- 6. flavonol G- or flavonoids พบเยอะในพืชที่มีสี ป้องกันมะเร็ง7. alcoholic G- 8.phenolicglycosides 9.aldehyde G- 10 lactone G- 11.tannins ยาฝาดสมานแก้ท้องเสีย

thyco ย่อ ย่อย เอกสาร วันดี กฤษณพันธ์

แหล่งที่มาดั้งเดิม: ${vars.title} แบ่งปันกับ ใบอนุญาต Creative Commons Attribution-ShareAlike 3.0

หมวดหมู่